ReadyPlanet.com
dot dot
dot
ปฏิทินกิจกรรม
dot
bulletโรงเรียนภาคฤดูร้อน
bulletงานรวมพี่รวมน้อง
bulletงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
bulletกิจกรรมทุกวันเสาร์(สัปดาห์ที่ 3 และ 4 ของเดือน)
bulletข่าวสารของคริสตจักร มิตรภาพ
dot
สื่อมัลติมีเดีย ของคริสตจักร
dot
bulletคำเทศนาเรื่อง การใช้เครื่องดนตรีในเวลานมัสการ
bulletเพลงสรรเสริญพระเจ้า (Eng)
dot
รอบรั้ว คริสตจักรของพระคริสต์ มิตรภาพ
dot
bulletสมาชิกที่มิตรภาพ
dot
หนังสือต่างๆ ของทางคริสตจักร
dot
bulletหนังสือที่น่าสนใจ
dot
บทความ โดยสุบิน ปั้นบุญ
dot
bulletบทความ โดยสุบิน ปั้นบุญ
bulletหนังสือ และบทความ
bulletคริสเตียนใหม่
bulletงานฟื้นฟูประจำปี
bulletสมัครบทเรียนทางไปรษณีย์...ฟรี
bulletเว็บเพจ และข่าวสาร ของ คริสตจักร (มิตรภาพ)
bulletบทความในวารสาร ของคริสตจักร


แบนเนอร์ตัวอย่าง


ตัวอย่างบทเรียนทางไปรษณีย์

 


       โลกและจักรวาล   

 

 

เกิดขึ้นเองหรือพระเจ้าเป็นผู้สร้าง?

      

มีคำถามที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทุกคน             

 (1) มนุษย์มาจากไหน?                  

 (2) มนุษย์มาอยู่ที่นี่ทำไม?

 (3) มนุษย์ตาย แล้วไปไหน?          

 (4) ทำไมมนุษย์จะต้องตาย?

 (5) มนุษย์จะถูกพิพากษา ในวันสิ้นโลกไหม?

 คำตอบอยู่ในบทเรียน บทที่หนึ่งนี้                  

      โลกที่เราอาศัยอยู่นี้มหัศจรรย์จริงๆ ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ นับตั้งแต่สัตว์เซลส์เดียว ตัวเล็กๆ ที่มอง ด้วยตาเปล่าไม่เห็นจนถึงสัตว์มหึมาเท่าช้างหรือปลาวาฬนอกจากสิ่งมีชีวิตนานา ชนิดรวมทั้งมนุษย์แล้วก็ยังมีสิ่งไม่มี ชีวิตเช่น  แร่ธาตุ, สารเคมีและวัตถุต่างๆ ที่ประกอบเป็นโลก ของเราอันสวยสดงดงาม  สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? เกิดมาเองหรือ?หรือมีผู้สร้าง?

มีพระเจ้าผู้ทรงสร้างจริงหรือ?

พระเจ้าได้เสนอข้อพิสูจน์ไว้ในธรรมชาติ

คำว่าธรรมชาติในที่นี้หมายถึง  ทุกสิ่งในจักรวาล  และในโลกรวมทั้งสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต้องมองด้วย กล้องจุลทัศน์  สารพัดทุกสิ่งในธรรมชาติแสดงให้เห็นฝีพระหัตถ์ของพระผู้ทรงสร้าง ดูความสวยงามของ ธรรมชาติ ท้องฟ้าสีคราม ดวงดาวนับจำนวนไม่ถ้วนในท้องฟ้า สารพัดทุกสิ่ง เหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

 

        สิ่งเหล่านี้ในตัวของมันเองไม่ได้สอนเราหรือว่าคง จะต้องมีผู้สร้างมันขึ้นมามันคงไม่เกิดขึ้นมาเองแน่ คงจะมีผู้สร้างทุกสิ่งและทุกสิ่งก็ขยายพันธุ์ของ มันเองตาม กฎแห่งการแพร่พันธุ์ Law of Procreation  พิจารณาดูทุกสิ่งในธรรมชาติ เรา เห็นว่าไม่มีอะไรสักสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีผู้ สร้างถูกแล้วเมื่อมองธรรมชาติเราไม่เห็นพระเจ้า     แต่ในธรรมชาติเราเห็นความมหัศจรรย์อันเร้นลับ และ ฤทธานุภาพของพระเจ้า สำแดงในธรรมชาติ  อัครสาวกเปาโลกล่าวไว้ในหนังสือโรม 1:19-20  “เหตุว่าการที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็มีแจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย  ด้วยว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดง ความนั้นแก่เขาแล้ว  ด้วยว่าอาการของพระเจ้าซึ่งเห็นไม่ได้นั้น คือ ฤทธานุภาพอันถาวร และ สัมภวะ ของพระองค์ ก็ทรงปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้นตั้งแต่แรกสร้างโลก เขาทั้งหลายจึง ไม่มีข้อที่จะแก้ตัวได้”                                                                                 

      จากข้อความนี้ชี้แจงว่า มนุษย์ทั่วใต้ฟ้าไม่มีข้อแก้ตัวได้ว่า เขาไม่รู้จักพระเจ้า ทำไมจึงเป็น เช่นนั้น? ...เหตุที่เป็นเช่นนั้นได้ก็เพราะพระเจ้าได้ทรงสำแดงพระองค์เองไว้ในธรรมชาติ เมื่อมองดู ธรรมชาติผู้มีสติปัญญาควรจะคิดว่ามันว่ามิได้เกิดขึ้นเอง จะต้องเป็นผีมือผู้ที่เป็นสถาปนิกที่ยิ่งใหญ่  ซึ่งมีฤทธานุภาพอยู่เบื้องหลัง เป็นผู้บันดาลให้สารพัดทุกสิ่งเกิดขึ้น กษัตริย์ดาวิดแหงนตาดูท้องฟ้า แล้วตรัสว่า ฟ้าสวรรค์แสดงพระรัศมีของพระเจ้า และท้องฟ้าประกาศพระหัตถกิจ” (บทเพลง สรรเสริญ 19:1)     ข้อความนี้ชี้แจงให้เห็นความอัศจรรย์ในธรรมชาติที่ประกาศพระหัตถกิจของ พระเจ้าสังเกตดูความเร้นลับในธรรมชาติทำให้เราคิดว่าจะต้องมีผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมามีหลักสาม ประการที่ทำให้เราคิดว่าจะต้องมีผู้สร้างคือ

(1) แบบแปลน : สะท้องให้เห็นว่าจะต้องมีผู้ออกแบบ

(2) ระเบียบ : สะท้อนให้เห็นว่าจะต้องมีผู้จัดระเบียบ

 

(3) สติปัญญา : ทั้งแบบอันประณีต และระเบียบอย่างไม่มีที่ติ แสดงให้เห็นว่าจะต้องมีผู้มีสติปัญญาอยู่เบื้องหลัง ผู้มีสติปัญญาก็คือ พระเจ้า ไม่ใช่สสารไม่ใช่ เกิดขึ้นมาเอง โดยบังเอิญ โดยอาศัยหลักสามประการดังกล่าวพิจารณาดูตัวอย่างดังต่อนี้

จักรวาลมีแบบที่มหัศจรรย์

 

        สมมุติว่า ท่านไปพักแรมที่ภูกระดึงตอนเช้าวันรุ่งขึ้นท่านตื่นขึ้นพบว่ามีเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุค อยู่ในเต้นท์ของท่านท่านคิดว่าคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นมาจากไหนกันแน่?ท่านคิดว่าเครื่องคอม พิวเตอร์ ตกมาจากต้นไม้หรือ? หรือเป็นอะไหล่รถยนต์เก่าสักคันหนึ่งที่อาศัยเวลานานๆเป็นล้านๆ ปีจึงวิวัฒนาการกลายเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้! คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ อีเลคโทรนิคที่ละเอียดประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างมีระบบเพราะฉะนั้นท่านจึงเข้าใจ ว่า คอมพิวเตอร์โน้ตบุคเครื่องนี้ได้ถูกออกแบบ หรือ Design หรือถูกสร้างขึ้นโดยคนบางคน จักรวาลของเราเกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน จักรวาลของเราใหญ่โตมโหราฬมีรัศมีประมาณ 20 พันล้านปีแสง (หมายความว่า ถ้าท่าน    สามารถเดินทางด้วยความเร็วเท่ากับความเร็วของแสง 186,000 ไมล์ต่อวินาทีจากขอบจักวาลฟาก หนึ่งไปขอบจักรวาลอีกฟากหนึ่ง) ในจักรวาลมีกาแลกซี่ประมาณหนึ่งพันล้านกาแลกซี่และมีดวงดาว ประมาณ 25 sextillion ดวง(เท่ากับ 25 ตามด้วยเลขศูนย์ 21 ตัว)  ขนาดของจักรวาลใหญ่โต มโหราฬน่าทึ่งมาก แต่การออกแบบก็ยิ่งน่าทึ่งมากกว่านั้นอีก อุณหภูมิภายในของดาวอาทิตย์ ประมาณ 20 ล้านองศาเซลเซียส โลกของเราอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 93 ล้านไมล์พอดี  โลกรับ ความร้อนจากดวงอาทิตย์และรังสีเพื่อทำให้ชีวิตอยู่รอด ถ้าโลกอยู่ในตำแหน่งที่ ใกล้ดวงอาทิตย์มาก กว่าที่เป็นอยู่เพิ่มอีก 10%โลกจะรับความร้อนและรังสีจากดวงอาทิตย์มากเกินไป  หรือถ้าโลกอยู่ใน ตำแหน่งที่ห่างจากดวงอาทิตย์ไกลออกไปจากดวงอาทิตย์อีก 10% โลกจะเย็นมากจนเป็นน้ำแข็ง  สภาวะดังกล่าวทั้งสองประการจะไม่สามารถทำให้มนุษย์ สัตว์ และพืชมีชีวิตอยู่บนโลกได้ แสดงว่า จะต้องมี  ผู้ออกแบบ”  ที่รู้อย่างแม่นยำว่าโลกของเราควร จะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์พอดิบพอดี                              

        ท่านที่กำลังอ่านโปรดหยุดคิดเรื่องนี้ ขณะที่ท่านกำลังอ่านหนังสือนี้ โลกของเรากำลังโคจร หมุนรอบแกนของมันเอง 1,000 ไมล์ต่อชั่วโมงที่เส้นศูนย์สูตรและโคจรรอบดวงอาทิตย์ 70,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ขณะที่ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลกำลังโคจรไปในห้วงจักรวาล ด้วยความเร็ว 600,000 ไมล์ต่อชั่วโมงขณะที่ดาวเคราะห์ต่างโคจรรอบดวงอาทิตย์พร้อมกันในเวลา ที่ต่างกันก็โคจรไปในห้วงจักรวาลน่าสนใจมากขณะที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์มันจะเคลื่อนตัวห่าง จากแนวเส้นตรงเพียง 1/9 ส่วน  ของนิ้วต่อทุก ๆ 18 ไมล์ สมมุติว่าโลกจะเคลื่อนตัวห่าง 1/8 ส่วนของนิ้ว เราจะโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ เราจะถูกเผาเป็นจุล หรือถ้าเคลื่อนตัวห่างออกไป 1/10 ส่วนของนิ้ว เราจะโคจรห่างจากดวงอาทิตย์โลกเราจะหนาวตาย

      อีกประการหนึ่งโลกทำมุมเอียงกับแกนโลก 23.5 องศาพอดิบพอดีถ้าโลกเราไม่เอียงตั้งอยู่ ในแนวตรงดิ่งขณะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์จะทำให้ไม่มีฤดูกาลบริเวณพื้นที่ป่าก็จะมีความร้อนสูง มากขึ้นและพื้นที่ทะเลทรายจะขยายใหญ่ขึ้น ถ้าการเอียงทำมุมเกิน 90 องศา โลกเราจะมีฤดูที่สลับ กันระหว่างฤดูหนาวที่หนาวมาก และฤดูร้อนที่ร้อนมาก ถ้าชั้นบรรยากาศที่หุ้มรอบโลกจะบางมาก กว่าเศษอุกาบาตนอกโลกจะตกลงมาบนโลกด้วยกำลังแรง และจะเกิดบ่อยมากขึ้นเป็นเหตุทำให้เกิด ภัยธรรมชาติอย่างรุนแรงทั่วโลก ข้อเพิ่มเติมนอกเหนือความจริงดังกล่าว 

       ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกของเรา240,000ไมล์ ระยะห่างของดวงจันทร์ก่อให้เกิดแรงดึงดูด ทำให้มีน้ำขึ้นน้ำลงในมหาสมุทร ถ้าดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกเพียงแค่หนึ่งในห้า น้ำจะขึ้นสูงมากอย่าง ท่วมท้น ท่วมผิวโลกสูงถึง 35-50 ฟุต วันละสองครั้ง ท่านคิดว่าระยะห่างของดวงจันทร์กับโลก อย่างพอดิบพอดีนั้นเป็นไปโดยบังเอิญหรือ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอัตราการหมุนรอบตัวเองของโลกจะ ถูกตัดให้ช้าลงครึ่งหนึ่งหรือเร็วขึ้นกว่าเดิมถ้าความเร็วลดให้ช้าลงครึ่งหนึ่ง  ฤดูกาลก็จะยาวออกไปอีกเท่าตัว ซึ่งก่อให้เกิดมีความร้อนเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงและเกิดความหนาวเย็นอย่างรุนแรงครอบคลุมเป็น บริเวณพื้นผิวของโลกอย่างกว้างขวาง  ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถผลิตอาหารมาเลี้ยงชาวโลก หรือแทบ จะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าอัตราการหมุนรอบตัวเองของโลกเร็วเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว  ฤดูกาลก็จะถูกลดลง ครึ่งหนึ่ง  จะก่อให้เกิดปัญหาทำให้ไม่สามารถผลิตอาหารให้พอกับความต้องการเพื่อเลี้ยงชีวิตได้ (พอถึงเวลามะเขือเทศจะสุก ฤดูหนาวจะมาถึงแล้ว) ใครบ้างที่จะคิดว่าความพอดิบพอดีซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อชีวิตจะอยู่ได้บนโลกของเราเกิดขึ้นโดยอุณหภูมิ”?โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์พอดี อยู่ห่างจากดวงจันทร์พอดี มีรัศมีพอดี  มีความกดดันของชั้นบรรยากาศพอดี เอียงทำมุมพอดี ปริมาณของน้ำในมหาสมุทรพอดี มีน้ำหนักของมวลสารพอดีและความพอดีอื่น ๆ อีกมากมาย  ความพอดีเหล่านี้เกิดขึ้นโดย อุบัติเหตุ”  อย่างนั้นหรือ ? พวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการอยากให้ ท่านเชื่ออย่างนั้น มีคนกล่าวว่าความพอดีที่เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุเปรียบเหมือนพายุใต้ฝุ่นพัดเอาเศษ เหล็กที่กองเป็นขยะโดยบังเอิญใต้ฝุ่นทำให้เศษเหล็กชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากองรวมกันเป็นเครื่องบินอย่างนั้นหรือ ? เป็นไปไม่ได้ หลังจากที่เราได้พิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดเป็นที่แน่ชัดว่า มีผู้มีสติ ปัญญา เป็นผู้ออกแบบสร้างจักรวาลขึ้นมา ผู้ออกแบบนั้นก็คือ พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่

 ร่างกายของมนุษย์ที่มหัศจรรย์

  รถยนต์เป็นนวัตกรรมเครื่องจักรที่น่าทึ่งมาก มีอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยประกอบเป็นตัวรถที่ สวยงาม มีวิทยุ มีไฟหน้าช่วยส่องสว่างในยามค่ำคืน มีเครื่องยนต์ที่พาเราไปตามที่เราต้องการจะไป เทคโนโลยีของรถยนต์ยุคใหม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่งสัญญาณดาวเทียมสามารถพาเราไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยปลอดภัย แม้เราไม่เคยไปสถานที่นั้นมาก่อน  แบบอันสวยงามของ รถยนต์ไม่ สามารถ นำมาเปรียบเทียบกับแบบร่างกายของมุนษย์ ซี่งเป็นเครื่องจักรกลอันมหัศรรย์จริงๆ ทำงานรวดเดียวโดยไม่หยุดเป็นเวลา 100 ปี ท่านเคยเห็นรถยนต์ที่ไหน ตั้งแต่เปิดเครื่องทำงาน รวดเดียวเป็นเวลา 100 ปีบ้างไหม? รถยนต์มีผู้ออกแบบร่างกายของมนุษย์ ก็เหมือนกันมีผู้ ออกแบบ  และผู้ออกแบบก็คือ พระเจ้า ร่างกายของมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญเป็นเวลาล้านๆ ปี! โปรดพิจารณาความมหัศจรรย์ของแบบในร่างกายมนุษย์ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ออกแบบดังต่อไป

 เซลในร่างกาย

 

ร่างกายมุษย์ประกอบด้วยเซลมากกว่า 200 ชนิด (เซลเม็ดเลือดแดง เซลเม็ดเลือดขาว เซลประสาท ฯลฯ) โดยเฉลี่ยผู้ใหญ่มีเซลรวมทั้งสิ้นประมาณ 100 trillion  ถ้าเซลทุกเซลใน ร่างกายมนุษย์มาต่อเรียงกันจะยาวรอบโลก 200 รอบ จะต้องใช้ความอัจฉริยะในการออกแบบ สร้างเพื่อให้เซลต่าง ๆเหล่านี้อยู่ตามส่วนต่าง ๆในร่างกายให้มันทำหน้าที่เหมาะเจาะที่สุด

 ผิวหนัง

ผิวหนังของท่านเป็นอวัยวะของร่างกายเป็นที่น่าทึ่งที่สุดปกป้องลมฝนและป้องกันแบ็คทีเรียต่างๆ รูเล็กๆ ซึ่งทำให้ขับเหงื่อออกมาเมื่ออากาศร้อนทำให้ท่านรู้สึกเย็น ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในมนุษย์ถ้าเอาผิวหนังของคนหนึ่งคนที่มีน้ำหนักตัวประมาณ65 กิโลกรัมมาแผ่ออกจะมีเนื้อที่ประมาณ 20 ตารางฟุตและหนัก ประมาณ 9กิโลกรัมผิวหนังเป็นบริเวณที่ทำงานซับซ้อน ผิวหนังขนาดเท่ากับ เหรียญ 25 สตางค์ ประกอบด้วยเส้นเลือดยาว 1 หลา เส้นประสาท 4 หลา ปลายเส้นประสาท 25 หน่วย ต่อมเหงื่อ 100 ต่อม และเซลอีก ประมาณ 3 ล้านเซล

 

ลิ้น

บริเวณอวัยวะของลิ้นทั้งหมดเต็มไปด้วยต่อมที่บอกรสชาดของ อาหาร  ต่อมสามารถบอกรสชาดของอาหารที่ท่านชอบหรือ ไม่ชอบ เช่น ไอศครีม เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม จืด ลิ้นเป็นกล้าม เนื้อที่ช่วยใน การพูด และช่วยในการกลืนอาหาร คราวต่อไป เมื่อทานอาหารที่ ท่านโปรดกรุณาคิดถึงการออกแบบอันมหัศจรรย์ของลิ้นของท่าน         

 

ดวงตา

ดวงตาของมนุษย์น่าอัศจรรย์และน่าทึ่งมาก ที่น่าทึ่งมากก็เพราะว่ามนุษย์ไม่สามารถประดิษฐ์ดวง ตาปลอมที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับดวงตาอันแท้จริงได้ดวงตาของมนุษย์สามารถรับสัญญาณ ข้อมูล ได้1.5 ล้านข่าวสารได้ทันที และสามารถรวบรวมข้อมูลความรู้ซึ่งถ่ายทอดจากสมองได้ถึง 80%  ตาของท่านมีเซลพิเศษซึ่งจะช่วยให้ท่านมองเห็นสีสดใสในยามดวงอาทิตย์ส่องแสง และดวงตามีเซลพิเศษที่ ช่วยให้ ท่านสามารถมองเห็นแม้ในที่ไม่ค่อยมีแสงมากทุกวันดวงตา กระพริบโดยเฉลี่ยประมาณ 100,000 ครั้ง โดยใช้กล้าม เนื้อเล็กที่สุดแต่แข็งแรงมาก

หูที่อัศจรรย์

    หลักฐานอันน่าทึ่งของแบบในร่างกายของมนุษย์ก็คือ หูซึ่งประกอบด้วยสามส่วน หูส่วนนอก หูส่วนกลาง และหูด้านใน  คลื่นเสียงเข้าไปตามหูส่วนนอก (ด้วยความเร็ว 1,087ฟุต ต่อวินาที) คลื่นเสียงผ่านไปตามช่องหูถึงหูส่วนกลางตรงกลางช่องหูมีแก้วหูคลื่นเสียงจะกระทบแก้วหูทำให้เกิดความสั่น คลื่นสั่นส่งต่อไปยังหูส่วนในคลื่นเสียงจะส่งไปกระทบ กับกระดูกเล็กสามอันเรียกว่า ค้อน เกิดการสั่น (เป็น ชื่อที่เรียงรูปร่างกระดูกสามชิ้น)ผลทำให้เสียงขยายมาก ขึ้นแล้วส่งสัญญาณไป ยังสมองสมองทำหน้าที่ใน การแปลสัญญาณว่าเป็นเสียงอะไรได้ทันทีทันใดแบบของหูสะท้อนห้เห็น ผู้ออกแบบนี้มีฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่

 

ระบบโครงกระดูก

     ผู้ใหญ่มีกระดูก 206 ชิ้นในร่างกายของเขา (ทารกอาจ มีกระดูกถึง 350 ชิ้นแต่เมื่อทารกโต ขึ้นกระดูกเหล่านี้จะรวมกัน) โครงกระดูกสามารถทำให้เรากระโดด วิ่ง เดิน นั่ง และเล่น และทำ หน้าที่เป็นเกราะป้องกันอวัยวะภายในของร่างกายอีกด้วย 

ระบบการไหลเวียน

ระบบการไหลเวียนประกอบด้วยหัวใจ โลหิต เส้นโลหิตใหญ่ เส้นโลหิตเล็ก เส้นโลหิตดำ และมีหน้าที่อีกหลายอย่าง

ประการแรก : ระบบการไหลเวียนเป็นพาหะนำ อาหารที่ย่อยแล้วไปยัง ส่วนต่างๆของร่างกาย                                                   

ประการที่สอง : นำอ๊อกซิเจนไปยังเซลต่างๆ เพื่อเผาผลาญอาหาร                                                                                       

ประการที่สาม :  นำเอาของเสียไปยังอวัยวะที่ขจัดของเสียออกไปจากร่างกาย ร่างกายของเรา  ทำหน้าที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุด โดยเราไม่ต้องห่วงว่ามันจะทำหน้าที่ล้มเหลว   

 

ระบบประสาท

ระบบประสาทเป็น ศูนย์กลางการสื่อสารของร่างกาย ถ้าท่านเอามือแตะเตาร้อนๆโดยอุบัติเหตุ ระบบประสาทของท่านจะจับสัญญาณความร้อนที่มือของท่านไปยังแขนของท่านสั่งให้มันชักมือออกอย่างรวดเร็ว  ระบบประสาททำหน้าที่ควบคุมอวัยวะภาย ในของร่างกาย (เช่นหัวใจและตับ) นอกจากนั้นมันยัง ทำหน้าที่รับสัญญาณจากส่วนต่างๆเช่นการมองเห็น การฟัง ความรู้สึก รสชาด การดมกลิ่น และควบคุม ความคิดของเรา การเรียนรู้ของเรา และความสามารถ ในการจดจำ    

 

เครื่องจักรชั้นยอด

มีชิ้นส่วนใหญ่น้อยมากมายประกอบกันเป็นร่างกายของเรา และชิ้นส่วนใหญ่น้อยเหล่านั้นทำงาน ประสานร่วมกันอย่างสมบูรณ์ที่สุด ท่านที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการต้องการให้ท่านเชื่อว่า ลิงเป็นบรรพ บุรุษของคน แต่ร่างกายของมนุษย์มีความแตกต่างจากลิงอย่างสิ้นเชิง เราเป็นเพียงแต่สัตว์ที่พัฒนา กว่าสัตว์ชนิดอื่นหรือ? ไม่ไช่!  ข้อแรก มนุษย์ไม่ไช่สัตว์ และ ข้อสอง พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้ มีความแตกต่างจากสัตว์อื่นๆ (เยเนซิศ 1 : 27) “พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบฉายาของพระองค์และตามแบบฉายาของพระองค์นั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นและได้ทรงสร้างให้เป็นชาย และหญิง”                       

  ท่านเห็นด้วยใช่ไหมว่าเมื่อ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์พระองค์ทรงสร้างเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพ 

แบบที่อัศจรรย์ในอาณาจักรของสัตว์

 

แม้พวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการยังยอมรับว่า ถ้ามีบทประพันธ์จะต้องมีนักประพันธ์ ถ้ามีรูปภาพจะ ต้องมีจิตรกรที่วาดภาพ ถ้ามีแบบก็ต้องมีนักออกแบบ แต่พวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวว่า แบบที่เราเห็นในธรรมชาติยังไม่พอที่แสดงให้เห็นว่ามีพระเจ้าผู้ซึ่งเป็นผู้ออกแบบที่ยิ่งใหญ่ พวกเขา ไม่อยากยอมรับว่าสัตว์มากมายที่อัศจรรย์ซึ่งอาศัยอยู่บนโลกได้ถูกออกแบบ ข้อสรุปของพวกที่เชื่อ ทฤษฎีวิวัฒนาการถูกต้องแล้วหรือ? หรือว่าหลักฐานจากแบบของสัตว์ต่างๆ ในโลกนี้ชี้ให้เห็นว่า มีพระเจ้าผู้ออกแบบที่ยิ่งใหญ่ ให้เรายกตัวอย่างสัตว์บางชนิด เมื่อพิจารณาดูแล้วท่าน ตัดสินใจด้วย ตัวเองว่า สัตว์ต่างๆ เหล่านี้ถูกออกแบบสร้างขึ้น หรือว่ามันเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ   

มังกรโคโมโด

 

ในทุ่งหญ้าบนเกาะโคโมโดประเทศอินโดนิเซีย มีสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมันมีรูป ร่างคล้ายกับตัวเงินตัวทองในประเทศไทย มันกำลังนอนนิ่งคอยเหยื่ออย่างสงบบังเอิญกวางตัวหนึ่ง เดินผ่านมาทางเจ้านักล่าตัวนั้นพอดี ชั่วพริบตาเจ้าสัตว์เลื้อยคลานนักล่าร่างยักษ์ก็ตะครุบเหยื่อ ด้วยเขี้ยวและกรามอันแข็งแรงของมันแล้วมันก็อิ่มด้วยอาหารค่ำอย่างเอร็ดอร่อย นักล่าเหยื่อที่ดุร้าย คือ มังกรโคโมโด ท่านอาจจะคิดว่ามังกรเป็นสัตว์ในนิยายซึ่งอัศวินต่อสู้กับมังกรด้วยหอกมังกร โดโมโดมีตัวตนจริงๆ เดินอยู่บนพื้นโลกปัจจุบัน มันไม่มีปีกบิน และมันพ่นไฟออกจากปากไม่ได้ แต่มันเป็นสัตว์ที่พระเจ้าทรงออกแบบสร้างมันขึ้นมา

    มังกรโคโมโดสามารถเจริญเติบโตเต็มที่ลำตัวยาวประมาณ 3 เมตร 50 เซนต์ สองเท่าของคน และหนักประมาณ 100 กิโลกรัม ช่วงขาสั้นแต่มันเดินเร็วได้ประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร็ว เท่ากับความเร็วของสุนัข มังกรโคโมโดกินอาหารได้รวดเร็วเป็นพิเศษ ฟันอันแหลมคมของมันออก แบบให้มันสามารถกินอาหารได้เยอะ มังกรโคโมโดสามารถกลืนเหยื่อทั้งตัวได้ มังกรโคโมโดตัวเมีย สามารถฉีกหมูป่ากินทั้งตัวภายใน 17 นาที

         มังกรโคโมโด สามารถกินอาหารได้อย่างรวดเร็วเพราะกระเพาะของมันรับน้ำหนักได้ 80% ของ น้ำหนักตัวมัน โคโมโดหนัก 100 กิโลกรัมสามารถกินอาหารได้ 80 กิโลกรัมลองคิดดูว่า ถ้ามนุษย์ ที่มีน้ำหนักตัว 90 กิโลกรัมสามารถรับประทานแฮมเบอร์เกอร์ได้ 320 อันภายใน 20 นาที มนุษย์ ไม่สามารถรับประทานได้มากขนาดนั้น แต่มังกรโคโมโดสามารถกินได้ ความสามารถในการกินของ มันไม่หยุดอยู่แค่นั้น ในปากของมังกรโคโมโดมีแบคทีเรียที่ เป็นเพื่อนของมันซึ่งอาศัยอยู่ระหว่าง ซอกฟันอันแหลมคม แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในปากของโคโมโดคอยทำหน้าที่กวาดเก็บกินเศษอาหาร ที่อยู่ตามซอกฟัน แบคทีเรียที่อยู่ในปากไม่ทำอันตรายโคโมโด แต่ถ้ามังกรโคโมโดไปฟัดกับศัตรู ชนิดใดก็ตาม แบคทีเรียจะทำให้เจ็บปวดเป็นพิษทำให้ศัตรูถึงตายได้ ท่านคงไม่ต้องการเห็นมันอยู่หลังบ้านของท่าน!มังกรโคโมโดมีน้อยมาก ทั้งหมดมีเหลืออยู่ประมาณ 4,000 ตัว ส่วนมากอยู่ ตามเกาะในประเทศอินโดนีเซียบางคนบอกว่ามังกรโคโมโดวิวัฒนาการขึ้นมาเองโดยบังเอิญนี่ไม่เป็นความจริง มังกรโคโมโดจะเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ และมีแบคทีเรียที่เป็นพิษอยู่ในปาก ของมันโดยไม่ ฆ่ามันแต่ฆ่าศัตรูได้อย่างไร? ความจริงก็คือพระเจ้าเป็นผู้ออกแบบในการสร้าง มังกรโคโมโดที่ อัศจรรย์เพื่อข้าพเจ้า และท่านสามารถมองเห็นฤทธานุภาพของพระเจ้าในการสร้าง

 

ปลาไหลไฟฟ้า

 

ปลาไหลไฟฟ้าสามารถมีประจุไฟฟ้าทำให้ท่านช๊อด 5 เท่ามากกว่าท่านจะเอานิ้วแหย่เข้าไปใน ปลั๊กไฟ ประจุไฟฟ้าที่อยู่ในปลาไหลไฟฟ้าที่อัศจรรย์เกิดจากปลายประสาทจำนวนมากกระจายไป ทั่วลำตัวของปลาไหลชนิดนี้ ปลายเส้นประสาทแต่ละเส้นมีกระแสไฟฟ้า เมื่อเอาปลายเส้นประสาท มารวมเข้าด้วยกัน ถ้าท่านไปสัมผัสจะทำให้เกิดไฟฟ้าช็อดได้ปลาไหลไฟฟ้าใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อสยบ เหยื่อของมันปลาไหลมีชั้นไขมันทำหน้าที่เป็นการระบายความร้อนเพื่อไม่ให้ตัวมันถูกไฟฟ้าช็อด จากตัวมันเอง ท่านคิดว่าปลาไหลไฟฟ้าได้ถูกออกแบบสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าผู้ทรงสร้างหรือมัน เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ?

 

ด้วงติดอาวุธ  (Bombardier Beetle)

ด้วงเป็นแมลงตัวเล็กๆ ที่มีพิษร้ายกาจที่หน้าท้องของมันเป็นกลไกป้องกันตัวที่ร้ายกาจ ในลำตัว ด้วงมีต่อมที่ผลิตสารเคมีเป็นพิษสะสมพิษนี้ไว้ใน แทงค์เก็บเรียกว่า “Collecting Vesicle” สารเคมีที่ด้วงผลิตคือ ไฮโดรเจนเปอร๊อกไซด์ และไฮโครควินอนส์ ถ้าศัตรูเข้ามาปะทะกับด้วง มันจะปล่อยสารเคมีทั้งสองออกจาก ห้องระเบิดแล้วมันจะเพิ่มเอนไซม ์เป็นส่วนผสมกับสาร เคมีทั้งสองตัวดังกล่าว ผลทำให้สารเคมีดังกล่าวผลิตเป็นของเหลวที่ร้อนจัดถึง100 องศาเซลเซียส หรือ 212 องศาฟาเรนไฮท์ ขบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นแค่สองวินาที ด้วงเล็กมีปืนกลขนาดจิ๋วหนึ่ง คู่ขนาดเท่าปลายเข็มฉีดยาอยู่ตรงส่วนหางของมันด้วงจะใช้ปืนกลคู่นั้นยิงสารเคมีที่เป็นพิษดังกล่าว เข้าใส่ศัตรูของมันทำให้คู่ต่อสู้ตายหรือแน่นิ่งไป ด้วงบินจากไปด้วยความสะใจ ด้วงสามารถผลิต สารเคมีที่เป็นพิษ และเก็บไว้ใน แทงค์เก็บและสามารถพ่นสารเคมีเข้าใส่หน้าของศัตรูได้ อย่างไร? ด้วงบอมบาร์ดเดอร์ถูกออกแบบโดยพระเจ้าหรือว่ามันเกิดขึ้นโดยบังเอิญ?        

 

ตัวเกียจคร้าน (Sloth)

 สำหรับมนุษย์เดิน 5ฟุตเป็นเรื่องเล็ก เพียงแค่สองก้าวใหญ่เท่านั้น ใช้เวลาเท่าไรเดินแค่ 2 ก้าว  2 วินาที หรืออย่างมากก็แค่5วินาที มีสัตว์ชนิดหนึ่ง เดินเร็วที่สุดอย่างเก่งก็เดินได้5ฟุต ต่อนาที มันเคลื่อนตัวบนพื้นดินได้เร็วที่สุดแค่ 5 ฟุต ภายใน60วินาทีเท่านั้นนั่นป็นสถิติการวิ่งที่เร็วที่สุด ของตัวเกียจคร้าน ความเร็วปกติของมันเดินได้ 13ฟุตต่อหนึ่งชั่วโมง (แค่ 5 ก้าวของมนุษย์ เท่านั้น)  เจ้าตัวเกียจคร้านเดินเชื่องช้ามากๆ แต่ความเชื่องช้าของตัวเกียจคร้านเป็นแค่ลักษณะอันหนึ่ง ของคุณสมบัติที่น่าทึ่งอันหนึ่งเท่านั้น ตัวเกียจคร้านหรือ Sloth ใช้เวลาอยู่บนต้นไม้มันใช้เวลานอน 18ชั่วโมต่อวัน (นี่เป็นที่มาของชื่อของสัตว์ชนิดนี้ที่เรียกว่าตัวเกียจคร้าน) ตัวเกียจคร้าน ใช้เวลาตื่น 6ชั่วโมงต่อวันเวลานอนหลับของตัวเกียจคร้านส่วนมากมันจะนอนเอาหัวลงมันจะกินจะนอน และทำหลายอย่างหัวกลับประมาณ15ชั่วโมงทุกๆวันเพราะการใช้ชีวิตแบบหัวกลับ พระเจ้าออกแบบ อวัยวะภายในของตัวเกียจคร้าน(เช่นกระเพาะ ตับ ถุงน้ำดี) ไปอยู่ในที่ซึ่งไม่เหมือนกับสัตว์เลือด อุ่นชนิดอื่น ตัวหมัด แมลงหวี่ แมลงปีกแข็ง ชอบอาศัยตามขนที่รุงรังของมัน มีรายงานว่า ตามลำตัวของตัวเกียจคร้านหนึ่งตัว จะมีแมลงหวี่ 100 ตัวแมลงปีกแข็ง1,000 ตัว และ หมัด 1,000ตัว ตัวเกียจคร้านไม่เหมาะที่จะเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักที่นอนปลายเตียงนอนของท่าน    ตัวเกียจคร้านไม่สามารถวิวัฒนาการอวัยวะพิเศษและอาการเชื่องช้าของมัน คนที่เชื่องช้าในการเข้าใจว่า แบบในสัตว์ ชนิดนี้และสัตว์ชนิดอื่นนับล้านคือ คนที่ปฏิเสธว่าไม่มีพระเจ้า (โรม1:28) ความจริงคือว่า มีแบบในธรรมชาติถ้ามีแบบแสดงว่า มีผู้ออกแบบอย่าให้พวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ ทำให้ท่านตาบอดด้วยคำอ้างของพวกเขาที่บอกว่า มีแบบแต่แบบในสัตว์เหล่านี้เกิด ขึ้นมาโดยบังเอิญ นี่เป็นคำอ้างที่ไร้เหตุผลที่สุด

กฏไบโอเยเนซิศ

 

(ชีวิตต้องมาจากชีวิต)

พิภพอันมหัศจรรย์รอบตัวเราเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตเป็นจำนวนมาก แมว สุนัข ม้า วัว ควาย ช้าง หมี จิ้งจก ต้นไม้ดอกไม้รวมทั้งมนุษย์ และยังมีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นมากมาย สิ่งมีชีวิตต่างๆเหล่านี้ มาจากไหน?  

   ผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการสอนว่านานมาแล้วโลกเราไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลยตามคำบอกเล่าว่า ใน ที่สุดสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิต แล้วสิ่งมีชีวิตก็จะเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นไม่ เหมือนเดิม แล้วสิ่งมีชีวิตจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆไปอย่างไม่หยุดยั้ง ตามคำบอกเล่าของพวก ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ ชีวิตมีจุดเริ่มต้นมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต เมื่อชีวิตได้เริ่มต้นพืชชนิดหนึ่งจะ เปลี่ยนแปลงกลายเป็นพืชอีกชนิดหนึ่ง สัตว์ชนิดหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งในไม่ ช้าสัตว์มีการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นมนุษย์ คำถามก็คือว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเราสามารถเห็นมัน เกิดขึ้นในโลกที่อยู่รอบๆตัวเราหรือเปล่า? เปล่าเลย เราไม่เห็นเลยในชีวิตประจำวันเราสามารถ เรียนรู้สิ่งที่อยู่รอบตัวเราเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในธรรมชาติอย่างแท้จริงว่าเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้าเราถามชาวไร่ว่า ลูกวัวมาจากไหน? เขาจะตอบว่าลูกวัวเกิดมาจาก แม่วัวถามคนปลูกสวน ดอกไม้ว่า กุหลาบมาจากไหน? เขาจะตอบว่ามาจากกุหลาบต้นอื่น ถามคนเลี้ยงผึ้งว่า ผึ้งตัวอ่อน มาจากไหน? เขาจะตอบว่ามาจากการวางไข่ของผึ้งนางพญา ในธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในโลก จะเป็นเช่นนี้เสมอไปวัวจะออกลูกมาเป็นลูกวัว กุหลาบมาจากกุหลาบ ผึ้งจะผลิตเป็นตัวผึ้งมากขึ้น

วิทยาศาสตร์และกฎไบโอเยเนซิศ

   เมื่อนักวิทยาศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติเขาสังเกตว่า มีบางสิ่งเกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ซ้ำ ซากไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาตร์สังเกตว่ามันเกิดซ้ำซากโดยไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ สิ่งมี ชิวิต มาจากสิ่งมีชีวิตเสมอ นักวิทยาสาตร์รู้ความจริงนี้เป็นเวลาหลายปีแล้ว ในปี ค.ศ.1858 นักวิทยาศาตร์ชาวเยอรมันมีนามว่า รูดอล์ฟ เวอร์โชว์ ได้กล่าวเป็นใจความว่า เซลทุกๆเซล เกิดมาจากเซลที่เกิดมาก่อนในปี ค.ศ.1860 หลุยส์ ปาสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส ได้กล่าวว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดเกิดมาจากสิ่งมีชีวิตก่อนหน้านั้นนักวิทยาศาสตร์ในอดีตเหล่านั้น ได้กล่าวในสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันเรียกว่ากฏไบโอเยเนซิศ(Law of biogenesis) เป็น กฎที่ว่าชีวิตมาจากชีวิตก่อนกฎนี้เป็นกฎของชีววิทยาและเป็นกฎที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับกันอย่างเอกฉันท์ในธรรมชาติเราเห็นว่ากฎนี้เป็นความจริงเสมอโดยไม่มีข้อยกเว้นทฤษฎีวิวัฒนาการขัดแย้ง กับกฎไบโอเยเนซิศเพราะทฤษฎีวิวัฒนาการบอกว่าสิ่งไม่มีชีวิตกลายเป็นสิ่งมีชีวิตความจริงก็คือว่า ชีวิตย่อมมาจากสิ่งมีชีวิตก่อนหน้านี้เสมอแม้กระทั่งผู้เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการยังยอมรับกฎไบโอ เยเนซิศนี้เช่นดร.จอร์จจี.ซิมพ์ซันแห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดได้กล่าวว่าไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า กฎไบโอเยเนซิศเป็นกฎที่ว่าชีวิตย่อมมาจากชีวิตที่มาก่อนหน้าและเซลที่เป็นหน่วยเล็กของ ชีวิตย่อมมาจากผลผลิตจากเซลเสมอโดยไม่มาจากทางอื่นแน่นอน

พระคัมภีร์และกฎไบโอเยเนซิศ


กฎไบโอเยเนซิศสอนชัดว่าชีวิตเกิดมาจากชีวิตที่มาก่อนหน้าและชีวิตจะผลิตลูกสืบทอดเป็น ไปตามชนิดของมัน กฎนี้เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์ได้สอนเป็นเวลานาน ในเยเนซิศ 1:11-12 พระคัมภีร์ ได้กล่าวว่า พระเจ้าตรัสให้ต้นหญ้าต้นผักที่มีเมล็ด และต้นไม้ที่มีผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิด ของ มันงอกขึ้นในแผ่นดินก็เป็นดังนั้นต้นหญ้าต้นผักที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่มี เมล็ดใน ผลตามชนิดของมัน  ทุกอย่างก็งอกขึ้นที่แผ่นดิน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”  เยเนซิศ 1: 24-25  “พระเจ้าตรัสให้ฝูงสัตว์มีชีวิตบังเกิดขึ้นที่แผ่นดินตามชนิดของมันคือสัตว์ใช้สัตว์เลื้อย คลานและสัตว์ป่าทั้งปวงตามชนิดของมันคือสัตว์ใช้สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ป่าทั้งปวงตามชนิด ของมัน และสรรพสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินตามชนิดของมันทุกอย่างแล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี” ข้อความในพระคัมภีร์ข้ออื่นเช่นในเลวีติโก 11:13-19 ได้กล่าวย้ำว่า ชีวิตมาจากสิ่งที่มีชีวิต    เท่านั้นและชีวิตจะผลิตชีวิตเพิ่มขึ้นตามชนิดของมันกฎไบโอเยเนซิศเป็นกฎที่นักวิทยาศาสตร์ ใช้ในวิชาชีววิทยาและวิทยศาสตร์สาขาอื่นที่สัมพันธ์กันเช่น การเกษตรจนถึงวิศวพันธุกรรมกฎไบโอ เยเนซิศเป็นกฎที่สูงสุดที่คนต้องเคารพในโลกของชีววิทยา  ถั่วลันเตาจะผลิตถั่วลันเตา  กุหลาบจะผลิตเป็นกุหลาบ ม้าจะผลิตลูกออกมาเป็นม้า สุนัขจะผลิตลูกออกมาเป็นสุนัขนั่นเป็น การทำงาน ของกฎไบโอเยเนซิศ  ทุกสิ่งจะผลิตเป็นไปตามชนิดของมัน  พระคัมภีร์กับวิทยาศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ขนานแท้มีผู้ให้กำเนิดผู้เดียวกันคือ พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระเจ้าตรัสมุสาไม่ได้ (ติโต1: 2) ถ้าเช่นนั้นเราแน่ใจได้ว่าหนังสือแห่งธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเรา มีความสอดคล้องกับหนังสือพระ คัมภีร์ของพระองค์กฎไบโอเยเนซิศเป็นตัวอย่างหนึ่งตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์  เป็นความจริงทุกประการ

มีผลก็ต้องมีเหตุ

ถ้าเราโยนลูกบอกจากตึกสูงจะเกิดดอะไรขึ้น? ลูกบอลจะตกลงถึงพื้น ทำไม? เพราะกฎของการ โน้มถ่วงในธรรมชาติมีกฎธรรมชาติเหมือนกับสังคมของมนุษย์มีกฎบางอย่างที่สำคัญในสังคม มนุษย์มนุษย์ได้ตั้งกฎขึ้นคำถามคือธรรมชาติมาจากไหน?คำตอบก็คือพระเจ้าเป็นผู้ตั้งกฎธรรมชาติ ขึ้นนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบและศึกษากฎเหล่านั้นนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นผู้ตั้งกฎขึ้นพระเจ้า แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีฤทธานุภาพที่จะตั้งกฎได้ กฎธรรมชาติคืออะไร? ในวิทยาศาสตร์ กฎ คือ คำอธิบายของสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติ พูดให้เข้าใจเสียใหม่ง่ายๆว่าอะไรที่เกิดขึ้นซ้ำ แล้วซ้ำอีกโดยไม่มีข้อยกเว้นนั่นแหล่ะคือ กฎ

 

วิทยาศาสตร์และกฎของเหตุผล

กฎที่รู้จักันอย่างกว้างขวางในบรรดากฎของวิทยาศาสตร์ก็คือ กฎของเหตุและผลกฎนี้มีใจความ ว่า สสารทุกอย่างที่เป็นผลย่อมต้องมีเหตุที่คู่ควร ก่อนหน้าที่มันจะเกิดขึ้น พิจารณาดูตัวอย่าง ดังต่อไปนี้

   หลายปีมาแล้วนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ถูกเรียกให้ไปที่ประเทศอังกฤษ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับ ความมีระเบียบของก้อนหินที่วางไว้อย่างเป็นระบบก้อนหินที่ได้ถูกค้นพบต่อมาเป็นที่รู้จักกันว่า Stonehenge เมื่อการศึกษาก้อนหินนี้ก้าวหน้าเป็นที่แน่ชัดว่า  ก้อนหินที่วางเรียงรายอย่างมีระบบ ระเบียบถูกออกแบบไว้เพื่อไว้พยากรณ์ล่วงหน้าโดยอาศัยดวงดาวเป็นหลัก คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ก้อนหินใหญ่มหึมาได้ถูกเคลื่อนย้ายจากที่ไกลๆมาถึงตรงจุดนั้นได้อย่างไร? ก้อนหินที่วางเรียงราย กันนั้นสามารถหาคำตอบได้อย่างไร? และคำถามอื่นๆ อีกมากที่ยังไม่ได้รับคำตอบแต่มีสิ่งที่เด่นชัดก็คือต้นเหตุของStonehenge ออกแบบโดยมนุษย์ผู้มีสติปัญญาบางคนอาจจะกล่าวว่า Stonehenge ไม่มีมนุษย์ผู้ใดออกแบบสร้างมันขึ้นมา Stonehenge อาจจะเกิดขึ้นจากภูเขาที่ถล่มทลาย หรืออาจ จะเกิดขึ้นจากลมพายุที่กระหน่ำอย่างรุนแรงทำให้เกิดเป็นก้อนหิน Stonehenge ขึ้นมาใครอยากจะ เชื่อความคิดโง่ๆ อย่างนั้น ๆ ไม่มีใครยอมรับว่า Stonehenge “เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญแน่นอน Stonehenge สะท้อนให้เห็นแบบอันซับซ้อน  แสดงว่าจะต้องมีผู้ออกแบบแน่นอน แต่นักวิทยา ศาสตร์ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการต้องการให้เราเชื่อว่า จักรวาลและสิ่งมีชีวิตอันสลับซับซ้อนของโลกนี้ เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญจากขบวนการของธรรมชาติอย่างเดียวการสรุปดังกล่าวไม่ถูกต้องเพราะ ต้นเหตุที่บอกว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญยังไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะก่อให้เกิดผล  

 

พระคัมภีร์กับกฎของเหตุและผล

     พระคัมภีร์มีตัวอย่างเกี่ยวกับทัศนะของเหตุและผลเพื่อสำแดงให้เห็นว่า เมื่อเราพิจารณาว่ามีผล ของบางสิ่งบางอย่างสามารถย้อนไปถึงต้นเหตุว่าจะต้องมีต้นเหตุ ผู้เขียนหนังสือเฮ็บรายกล่าวว่า ด้วยว่า ตึกทุกหลังคงมีผู้สร้าง แต่ว่าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงคือพระเจ้า” (เฮ็บราย 3:4) สามัญสำนึกบอก เราว่าบ้านไม่สามารถสร้างตัวมันเองได้ เพราะฉะนั้นบ้านเป็นผลของบางอย่าง ซึ่งจะต้องมีต้นเหตุที่คู่ ควรกับผลที่เกิดขึ้นนั่นก็คือ ถ้ามีบ้านก็ต้องมีผู้สร้างบ้านก่อนที่จะมีบ้าน  อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ใน หนังสือโรม 1:20 เกี่ยวกับต้นเหตุของการเกิดจักรวาลใจความว่า ด้วยว่าอาการของพระเจ้าซึ่งเห็นไม่ได้นั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและสัมภวะของพระองค์ ก็ทรงปรากฎชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ ทรงสร้างนั้นตั้งแต่แรกสร้างโลกเขาทั้งหลายจึงไม่่มี ข้อที่จะแก้ตัวได้เปาโลใช้เหตุผลที่ถูกต้องโดยกฎของเหตุและผลและท่านต้องการให้ผู้อ่านรู้ว่า จักรวาล ก็เหมือนกับบ้านเป็นผลของการออกแบบสร้าง เพราะฉะนั้นมันต้องมีเหตุที่คู่ควร ที่ทำให้ มันเกิดขึ้นเพราะจักรวาลสำแดงให้เห็นแบบมันจะต้องมีผู้ออกแบบ เพราะจักรวาลสำแดงให้เห็นสติ ปัญญาแสดงว่า ผู้ออกแบบจะต้องมีสติปัญญาแน่นอน จักรวาลสำแดงให้เห็นชีวิต เพราะฉะนั้น ผู้ออกแบบจะต้องดำรงชีวิตเพราะมีชีวิตสำแดงให้เห็นศีลธรรมแสดงว่าผู้ออกแบบเป็นผู้มีศีลธรรม แน่นอนผู้ออกแบบก็คือ พระเจ้า เปาโลกล่าวว่า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพผู้ทรงเป็นต้นเหตุเบื้อง ต้นที่ทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นพระคัมภีร์ได้ชี้ให้เห็นกฏของเหตุ และผลอย่างชัดเจน

 

     สรุป : ประเด็นสำคัญของกฎ เหตุและผลก็คือสสารและชีวิตทุกอย่างที่เห็นเป็นผลของ บางสิ่งแสดงว่าต้องมีเหตุที่สมเหตุสมผลก่อนที่จะมันจะเกิดขึ้นชีวิตในจักรวาลอันมหัศจรรย์ได้ มาที่นี่แล้ว สติปํญญาอยู่ที่นี่แล้วศีลธรรมอยู่ที่นี่แล้ว เหตุเบื้องต้นในการเกิดของทุกสิ่ง คืออะไร? เพราะผลจะมาก่อนเหตุไม่ได้หรือผลจะใหญ่ก่อนเหตุไม่ได้ดังนั้นเกือบสรุปว่าต้นเหตุของชีวิตคือ ผู้ที่มีสติปัญญาพระคัมภีร์ เยเนซิศ 1:1 บันทึกไว้ว่า เมื่อเดิมพระเจ้าได้นฤมิตสร้างฟ้าและดินพระคัมภีร์ได้บอกต้นเหตุที่มาของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต

 

ท่านใดมีความประสงค์จะศึกษาบทเรียนทางไปรษณีย์เพิ่มเติม สามารถสมัครเรียนกับทางเว็บไซค์คริสตจักรของพระคริสต์ หมู่บ้านมิตรภาพ

สมัครเรียนฟรี.... 

 







Copyright © 2011 All Rights Reserved.

คริสตจักรของพระคริสต์ มิตรภาพ
ที่อยู่ :  เลขที่ 838 ซ.ดาราฉาย อ่อนนุช 46 เขต :  สวนหลวง แขวง : สวนหลวง
จังหวัด : กรุงเทพฯ      รหัสไปรษณีย์ :10250
เบอร์โทร :  02-321-1099