คำถามเรื่องการใช้เครื่องดนตรีในเวลานมัสการ # 5

QUESTION OF INSTRUMENTAL MUSIC IN WORSHIP.

ข้อโต้แย้งของผู้ที่ใช้เครื่องดนตรีในการนมัสการ

ARGUMENTS FOR USING AN INSTRUMENT IN WORSHIP.

วิวรณ์ 22:18-19

“ข้าพเจ้าเป็นพยานแก่ทุกๆ คนที่ได้ยินถ้อยคำในหนังสือนี้ว่า ถ้าผู้ใดๆ จะเพิ่มข้อความในเรื่องราวพยากรณ์ของหนังสือนี้ พระเจ้าจะทรงเพิ่มภัยทรมานที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ให้แก่ผู้นั้นๆ 19 และถ้าผู้ใดจะลดข้อความจากเรื่องราวแห่งหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าจะทรงชักส่วนของผู้นั้นไปเสียจากต้นไม้แห่งชีวิต และจากเมืองบริสุทธิ์นั้น และจากข้อความเหล่านั้นที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้”

(พระบัญญัติ 4:2,12:32, สุภาษิต 30:6)

คำนำ : 1. วิวรณ์ 22:18-19 สอนว่าไม่ควรเพิ่มหรือลดพระคำของพระเจ้า Revelation 22:18-19

teaches us not to add nor to take away, the word of God.  สิ่งที่พระคัมภีร์ไม่ได้สั่งเราอย่านำสิ่งนั้นเข้ามา  และสิ่งใดที่สั่งไว้ในพระคัมภีร์เราไม่ควรตัดออก  หลักนี้ใช้ได้กับคำถามเรื่องการใช้เครื่องดนตรีเวลานมัสการได้ไหม?  ย้อนถามว่าพระคัมภีร์ใหม่มีคำสั่งให้ใช้เครื่องดนตรีโดยตรงไหม?  คำตอบคือ ไม่มี !  ถ้าไม่มีแต่เราฝ่าฝืนนำมาใช้ก็เท่ากับว่าเราเพิ่มเติมสิ่งที่พระคัมภีร์ไม่ได้สั่งเอาไว้  ผู้ที่ใช้เครื่องดนตรีเวลานมัสการต่างก็หาเหตุผลมาโต้แย้งว่า  เขาสามารถใช้เครื่องดนตรีในเวลานมัสการได้

      2. เราจะพิจารณาข้อโต้แย้งของผู้ที่ใช้เครื่องดนตรีเวลานมัสการอย่างเป็นระบบ  Let us look in a

systematic way at specific arguments made in defense of the use of instrumental music in Christian worship.  ขณะเดียวกันเราจะโต้ตอบความคิดเห็น

ของเขาแต่ละประเด็นให้จะแจ้ง

              ข้อโต้แย้งของพวกนิยมใช้เครื่องดนตรีเวลานมัสการมีดังนี้ : -

I. “การร้องเพลงปากเปล่าในที่ประชุมไม่มีคำสั่งในพระคัมภีร์ใหม่”

    CONGREGATIONAL SINGING IS NOT AUTHORIZED IN THE NEW TESTAMENT.

    1. บ้างมีความเห็นว่าการร้องเพลงไม่ใช่เป็นการนมัสการในพระคัมภีร์ใหม่  Some contend that

 singing is not part of new Testament worship.

พวกเขาหมายความว่าผู้ที่ร้องเพลงปากเปล่า หรือ cappella ในเวลานมัสการก็ถือว่าผิด

    * คำตอบ : The answer  ความจริงมีข้อพระคัมภีร์ใหม่ที่สั่งให้ร้องเพลง เป็นคำสั่งที่  

          specific เฮ็บราย 2:12 (บทเพลงสรรเสริญ 22:22) “เราประกาศพระนามของพระองค์

แก่พวกพี่น้องของเรา  เราจะร้องเพลงสรรเสริญ (humneso) พระองค์อยู่ท่ามกลางสัปปุรุษ”  (คริสตจักร Church = ekklesia)

 

 

    * หนังสือเอเฟโซและโกโลซายเขียนไปถึง คริสตจักร ขององค์พระผู้เป็นเจ้า  โกรินโธฉบับต้น

            14:15 กำลังชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในที่ประชุม ในเอเฟโซ 5:19 และโกโลซาย 3:16

1โกรินโธ 14:15 “ถ้าเช่นนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าจะอธิษฐานด้วยจิตวิญญาณ และจะอธิษฐานให้เป็นที่เข้าใจได้ด้วย ถ้าข้าพเจ้าจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณ จะร้องเพลงให้เป็นที่เข้าใจได้ด้วย”

เอเฟโซ 5:19 “จงสนทนากันด้วยคำไพเราะอย่างเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญ คือร้องเพลงและกล่าวคำสรรเสริญในใจของท่านทั้งหลายถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า”

โกโลซาย 3:16 “จงให้พระคำของพระคริสต์ดำรงอยู่ในท่านทั้งหลายบริบูรณ์ด้วยปัญญาทั้งปวง สั่งสอนและเตือนสติซึ่งกันและกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญ คือร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยใจกรุณาคุณ”

เฮ็บราย 13:15 “เหตุฉะนั้นให้เราถวายคำสรรเสริญพระเจ้าเป็นเครื่องบูชาเสมอโดยพระองค์นั้น คือผลแห่งริมฝีปากที่กล่าวสรรเสริญพระนามของพระองค์”

ใช้สรรพนามพหูพจน์ตั้งแต่สองคนขึ้นไป  คือ “สั่งสอน และเตือนสติซึ่งกันและกัน”

(heautois, heautois)

มัดธาย 18:20 “ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนๆ ในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น"”

    2. คนที่โต้แย้งว่า “การร้องเพลง” ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการในที่ประชุม  เป็นคนที่ไม่มี

       เหตุผลเท่ากับเป็นการฟ้องตัวเอง  The  argument that singing is not part of congregational worship is illogical and self-indicting.  พวกนี้ปราศจากเหตุผลและฟ้องตัวเองเพราะอะไร?  เพราะถ้าการร้องเพลงปากเปล่าไม่มีคำสั่งในพระคัมภีร์ใหม่ถือว่าเป็นการผิด  ผู้ที่ใช้เครื่องดนตรีประกอบการการร้องเพลงในที่ประชุมก็ผิดด้วย  เพราะไม่มีคำสั่ง

       ในพระคัมภีร์ใหม่ให้ใช้เครื่องดนตรี  ไม่มีสักข้อเดียว

    3. บัญญัติของโมเซมีคำสั่งให้เป่าแตร  The law of Moses authorized the blowing of

trumpets  (อาฤธโม 29:1)  ถ้าบทเพลงสรรเสริญ 81:2-4 “2 จงร้องเพลงและตีกลอง ดีดพิณเสียงเพราะกับเป่าปี่ 3 จงเป่าแตรในวันต้นเดือนและในคืนวันเพ็ญซึ่งเป็นวันถือรื่นเริงของพวกเรา

4 เพราะเป็นข้อบังคับสำหรับพวกยิศราเอลและเป็นกฎหมายของพระเจ้าแห่งพวกยาโคบ”  ถ้าเราไม่นำคำสั่งในบทเพลงสรรเสริญไปปฏิบัติในคริสตจักรก็จะปรากฏว่า  ทั้งผู้ที่ร้องเพลงปากเปล่ากับผู้ที่ใช้เครื่องดนตรีก็จะทำผิด เพราะทั้งสองกลุ่มไม่ได้ “เป่าแตรร้องเพลง, ตีกลอง, ดีดพิณ

ในวันต้นเดือน และในคืนวันเพ็ญ เพราะเป็นข้อบังคับของพวกยิศราเอล”  ความจริงก็คือว่าคำสั่งในบทเพลงสรรเสริญเกี่ยวกับการร้องเพลง  และใช้เครื่องดนตรีอยู่ในพระคัมภีร์เดิม  

             คริสเตียนใช้ปากร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้ามาเป็นเวลาสองพันปี

II. “เครื่องดนตรีมีบันทึกไว้ในบทเพลงสรรเสริญ และในหนังสือวิวรณ์” 

     MUSICAL INSTRUMENTS ARE MENTIONED IN PSALMS AND REVELATION.

     1. ในบทเพลงสรรเสริญ In Psalms.

 

         บ้างยืนยันว่าในบทเพลงสรรเสริญใช้เครื่องดนตรี  แสดงว่าเขานำมาใช้ในการนมัสการของ

         คริสเตียนได้ 

         คำตอบ : ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวไว้ในบทเพลงสรรเสริญเรานำมปฏิบัติในพระคัมภีร์ได้อย่างนั้นหรือ?  บทเพลงสรรเสริญกล่าวถึงเครื่องดนตรี ถ้าเราใช้พระคัมภีร์ข้อนี้เป็นใบอนุญาตในการใช้เครื่องดนตรีเวลานมัสการ  ถ้าอย่างนั้นเราต้องคุกเข่า

         หันหน้าตรงไปยังวิหารเหมือนบทเพลงสรรเสริญ 5:7 , 138:2 ด้วยหรือ

     * การใช้เครื่องดนตรีในบทเพลงสรรเสริญบอกไว้ชัดเจน  แต่ในพระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้บอกไว้ 

Psalms is clear about the use of instruments the New Testament is not.  เราไม่สามารถนำสิ่งที่ปฏิบัติในบทเพลงสรรเสริญมาใช้ในพระคัมภีร์ใหม่ เช่น

บทเพลงสรรเสริญ 66:13-15 “ข้าพเจ้าจะนำเครื่องบูชายัญเข้าไปในวิหารของพระองค์ ข้าพเจ้าจะแก้บน 14 ซึ่งริมฝีปากของข้าพเจ้าได้บนไว้และตามซึ่งปากของข้าพเจ้าได้บนไว้คราวเมื่อข้าพเจ้ามีความทุกข์ 15 ข้าพเจ้าจะถวายสัตว์อ้วนพีเป็นบูชายัญพร้อมกับกลิ่นหอมของแกะผู้ ข้าพเจ้าจะถวายโคผู้พร้อมกับแพะด้วย”

                  ถามว่าการปฏิบัติเหล่านั้นนำมาปฏิบัติในการนมัสการในพระคัมภีร์ใหม่ได้ไหม?  มี

หลายสิ่งที่อยู่ในบทเพลงสรรเสริญไม่มีความสัมพันธ์กับ  การนมัสการในพระคัมภีร์ใหม่?  สิ่งเหล่านั้นอยู่ในบัญญัติเดิม  พระบัญญัติและระบบต่างๆในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จไปแล้ว  ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไม่มีผลบังคับใช้ในปัจจุบันนี้  (โรม 7:4,โกโลซาย 2:14-16,เฮ็บราย 10:8-10)  อย่างไรก็ตามเราสามารถเรียนบทเรียนจากตัวอย่างและหลักการต่างๆในพระคัมภีร์เดิมได้  (ดู ฆะลาเตีย 3:24-25)  ปัจจุบันเราสามารถร้องเพลงสรรเสริญในสิ่งต่างๆที่พระเจ้าทำในอดีต  โดยไม่ต้องปฏิบัติตามระบบการนมัสการเหมือนยุคบรรพบุรุษ  หรือเหมือนยุคของโมเซในคริสตจักร

     * สถานที่การนมัสการพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไปดังตัวอย่างต่อไปนี้  The place for worship

           have been change.

·     การนมัสการในพระคัมภีร์เดิมกระทำในพลับพลาต่อมากระทำในวิหาร

ขันทีชาวเอธิโอเปียไปนมัสการที่ยะรูซาเล็ม (กิจการ 8:27) ขันทีไม่เคยได้ยินว่า  จะมีการพระเจ้าที่ไหนก็ได้ (โยฮัน4:21) เพราะฉะนั้นเขาจึงไปนมัสการพระเจ้าที่ยะรูซาเล็ม

·     พระกิตติคุณสำหรับคนทั้งปวงที่ออกพระนามพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า 

   (1โกรินโธ 1:2) ไม่ใช้เฉพาะพวกยิวเท่านั้น  ดังนั้นมีผู้เชื่อที่ไหนเขาก็นมัสการพระเจ้า

    ที่นั่น

·     คริสเตียนสามารถอธิษฐานได้ทั่วทุกแห่ง  (1ติโมเธียว 2:8)  เช่นที่เฉลียงในวิหารของ

ซะโลโม  (กิจการ 3:11, 5:12)  ในบ้าน (กิจการ 12:12)  ในที่ประชุมตุระโน (กิจการ 19:9) บนห้องชั้นบนที่เมืองโตรอา  (กิจการ 20:7-9)  สถานที่ต่างๆ

เหล่านี้ที่มีการประชุมนมัสการของคริสเตียน  ไม่มีหลักฐานการใช้เครื่องดนตรีในการนมัสการสักแห่งเดียว

    2. เครื่องดนตรีในหนังสือวิวรณ์  In Revelation. 

บ้างยกเอาเครื่องดนตรีที่กล่าวไว้ในหนังสือวิวรณ์  เป็นบรรทัดฐานในการใช้เครื่องดนตรีเวลานมัสการ 

คำตอบ : โดยไม่ตระหนักว่าหนังสือวิวรณ์เป็นภาพพจน์, เป็นสัญลักษณ์, เป็นคำพยากรณ์, เป็นรหัส  มีหลายสิ่งที่หนังสือวิวรณ์กล่าวไว้  ที่ไม่ได้นำมาใช้ในการนมัสการในคริสตจักรเช่น  “ขันทองคำ แห่งพระพิโรธของพระเจ้า” (วิวรณ์ 15:7, 16:1)  “ขันทองคำเต็มไปด้วยสิ่งอันน่าอุจาด และโสโครก”  (17:4)  วิหาร (15:5) “ขันทองคำเต็มไปด้วยเครื่องหอม”

(5:8)  “แท่นทองคำตรงหน้าพระที่นั่ง” (8:3) “ผู้ปกครอง 24 คนนุ่งห่มขาวมีมงกุฎทองคำ” (4:4)  สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่นำมาใช้นมัสการในพระคัมภีร์ใหม่  แต่ภาพพจน์ในทำนองเดียวกันกับเครื่องดนตรีต่างๆในวิวรณ์ก็เป็นภาพพจน์ ไม่เป็นไปตามตัวอักษร

     3. เครื่องดนตรีในหนังสือโยบ  21:12 “เขาร้องเพลงเข้าจังหวะรำมะนาและเสียงพิณ เขารื่นเริงไปกับ

เสียงปี่”   29:13 “คำอวยพรของคนที่จวนเจียนจะพินาศก็หลั่งไหลมายังข้าและข้าเป็นเหตุทำให้อกใจของหญิงม่ายปลาบปลื้มร้องเพลง”  พระคัมภีร์ 2 ข้อนี้มักถูกยกมาเพื่อสนุบสนุนการใช้เครื่องดนตรีเวลานมัสการในคริสตจักรปัจจุบัน  ทำความเข้าใจโยบอยู่ในยุคบรรพบุรุษ และสองข้อพระคำนี้ใช้ในการรื่นเริงไม่ใช่การนมัสการในที่ประชุม

III. “พระเยซูและอัครสาวกนมัสการในสถานที่ใช้เครื่องดนตรี”  “JESUS AND THE APOSTLES     

       WORSHIPED WHERE INSTRUMENTS WERE USED”

      1. บ้างให้เหตุผลว่าพระเยซูกับอัครสาวกนมัสการในวิหารซึ่งใช้เครื่องดนตรี  Some have

reasoned that Jesus and the apostles worshiped in the temple where instrumental music was sued.  เท่ากับเป็นการอนุญาตให้อัครสาวกใช้เครื่องดนตรีนมัสการได้

ประการแรก : เราต้องเข้าใจว่าพระเยซูใช้ชีวิตอยู่ใต้พระบัญญัติ และรักษาพระบัญญัติ 

ประการที่สอง : เราไม่มีข้อพระคัมภีร์ยืนยันความคิดเห็นดังกล่าวว่า  ในวิหารมีเครื่องดนตรีเวลานั้น

          การสันนิฐานดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานว่า  ในสมัยโบราณมีการนมัสการใช้เครื่องดนตรีในวิหาร  ก็เลยเหมาเอาว่าในสมัยพระเยซูมีการใช้เครื่องดนตรี  แล้วก็เหมาเลยไปว่าพระเยซูเข้าไปนมัสการในวิหารที่มีการใช้เครื่องดนตรี

      2. หลังจากเทศกาลเพ็นเทคศเต  คริสเตียนมีการประชุมกันในวิหารทุกวัน  (กิจการ 2:46) 

        After the Day of Pentecost, Christians met daily in the temple (Acts 2:46)

      * เปโตรกับโยฮันเข้าไปในวิหารตอนบ่ายช่วงเวลาอธิษฐาน  (กิจการ 3:1)  เราไม่ทราบ

แน่นอนว่าช่วงเวลาอธิษฐานตรงเวลาอะไรแน่นอน  พระคัมภีร์ก็ไม่ได้บอกว่าเปโตรกับโยฮันเข้าไปในวิหารเพื่อนมัสการ กษัตริย์ดาวิดได้กำหนดหลักเกณฑ์การนมัสการในวิหารรวมทั้งการร้องเพลง  เป็นหน้าที่รับผิดชอบของพวกปุโรหิตในตระกูลเลวีไม่ใช่คนที่เข้าไปในวิหาร

      * การที่คนมาประชุมกันในเวลาอธิษฐานประมาณสามนาฬิกาหลังเที่ยงเป็นการทำโดยสมัครใจ 

พระบัญญัติไม่ได้มีกฎข้อบังคับว่าผู้นำเครื่องบูชามาจะต้องอยู่ในวิหารด้วย  เปโตรกับโยฮันเห็นฝูงชนชุมนุมกันจึงได้สั่งสอนฝูงชนเหล่านั้น  ในกิจการ 4:4  เรารู้ว่าเปโตรได้เทศนาแก่ฝูงชนประมาณห้าพันคนนับเฉพาะผู้ชาย  อัครสาวกได้สั่งสอนคนเป็นอันมาก เรื่องพระเยซู  “ในเฉลียงของซะโลโม” และ “ในวิหาร”  รวมทั้งตามสถานที่ต่างๆ  (กิจการ 5:12,42)  วิหารเป็นทำเลที่คนร่วมชุมนุมกันได้สะดวก  กิจการ 5:42 “เขาจึงได้สั่งสอนประกาศกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในโบสถ์และตามบ้านเรือนทุกๆ วันมิได้ขาด”

IV. “เครื่องดนตรีเป็นเพียงเครื่องช่วยให้เสียงเข้ากันดี”

     “MUSICAL INSTRUMENTS ARE NO DIFFERENT THAN HARMONY”

       1. เพื่อความพอใจบ้างบอกว่าการใช้เครื่องดนตรี  ทำให้การร้องเพลงเข้ากันได้ดี  To justify

the use of an instrument, some have equated it with singing in harmony.   การร้องเพลงประสานเสียงไม่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่  การร้องเพลงประสานเสียงยังไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแรกของอัครสาวก  แต่ได้เกิดหลังจากอัครสาวกหลายศตวรรษ  เพราะฉะนั้นการที่จะใช้เครื่องดนตรีเหมือนกับการร้องเพลงประสานสี่เสียง  เป็นเหตุผลผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง  เพราะเราไม่มีบันทึกการร้องเพลงประสานเสียงสี่เสียงในธรรมศาลาที่ปาเลสไตน์  ในศตวรรษแรก Philo of Alexandria นักปราชญ์ชาวยิว 20 B.C. –A.D. 50  ได้บรรยายการร้องเพลงในธรรมศาลาที่ Therapeutae  พวกนักปราชญ์ยิวที่อะเล็กซานเดรีย  ประเทศอียิปต์  บางครั้งบางคราว ชายหญิงท่องบทอาขยานพร้อมกัน

                 “... การร้องเพลงที่ Therapeutae ของชายและหญิง  ผู้ชายร้องเสียงต่ำ ผู้หญิงร้อง

           เสียงสูงทำให้ร้องเพลงกลมกลืนกัน” ¹

                ข้อความของไฟโลดังกล่าวชี้ให้เห็นการใช้เสียงร้องสองเสียงจากชายกับหญิงไม่ใช่

สี่เสียง  โปรดทราบว่าการร้องเพลงไม่ได้แยกต่างหาก  แต่เป็นการร้องพร้อมกันในที่ประชุม  ความเป็นจริงก็คือร้องเพลงในที่ประชุมไม่ว่าจะเป็นสองเสียง หรือสี่เสียง  เมื่อร้องเพลงในที่ประชุมพร้อมกันก็ถือว่า “เป็นการร้องเพลง” จากปากของคริสเตียนที่นมัสการและสนทนากันด้วยเพลงสดุดี  นี่แหละเป็นคำสั่งของพระคัมภีร์ใหม่  แต่ถ้าใช้เครื่องดนตรีจะเห็นความแตกต่างโดยสิ้นเชิง  คือกลุ่มที่เล่นเครื่องดนตรีกับกลุ่มที่ร้อง กลุ่มที่นั่งชมเฉยๆ

1.  Philo – An Alexandria Jewish Philosopher (about 20 B.C. to A.D. 50) Philo The Comparative Life 88.

V. “ภาษากรีกคำว่า Psallein (Psallein)  คือการใช้เครื่องดนตรี 

    “PSALLEIN REQUIRES THE USE OF AN INSTRUMENT”

     1. บ้างให้เหตุผลว่าภาษากรีกคำว่า “Psallein” (Psallein) แปลว่าดีดเครื่องดนตรี  Some

       contend that the use of an instrument in the verb Psallein (Psallein) including plucking string instrument.

             ถ้าแปลภาษากรีกคำว่า Psallein แปลว่าการดีดเครื่องดนตรี  ถ้าเช่นนั้นเราไม่มีทางเลือก  เราก็ต้องใช้เครื่องดนตรีชนิดที่ใช้นิ้วดีดประกอบการร้องเพลง  และหมายความว่าทุกคนที่เข้ามาประชุมก็ต้องนำเครื่องดนตรีชนิดนี้เข้ามาด้วย  นั่นหมายความว่าทุกคนก็ต้องเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้เป็น  ถ้าไม่เป็นก็ต้องเรียน

               การใช้เหตุผลดังกล่าวบกพร่อง  เพราะคำว่า“Psallein”  ที่ปรากฏในบทเพลงสรรเสริญ

         150 บท มีแค่ 16 บทที่ใช้เครื่องดนตรี  แต่มี 78 บทที่ไม่ได้ใช้เครื่องดนตรี  แสดงว่า “Psallein”   แปลว่าร้องเพลงด้วยปากเปล่ามากกว่าใช้เครื่องดนตรี

     2. ถ้าคำว่า “Psallein”  ต้องแปลว่าใช้เครื่องดนตรีเป็นความรับผิดชอบที่เราต้องปฏิบัติตาม ไม่ใช่

         ทางเลือก  If this argument were valid, then the use of an instrument would be obligatory, not optional.  ถ้าใช้เครื่องดนตรีในคริสตจักรที่ไหน  ที่นั่นจะมีการแตกแยก  แต่ถ้าร้องเพลงด้วยปากจะไม่มีการแตกแยก

VI. “เครื่องดนตรีเป็นอุปกรณ์ช่วยในการร้องเพลงเท่านั้น”

    “THE INSTRUMENT IS ONLY AN AID TO SINGING”

     1. บ้างให้เหตุผลว่าเครื่องดนตรีไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการ  แต่เป็นเครื่องช่วยการนมัสการ

เท่านั้น  Another argument reasons that an instrument is not part of the worship but is only an aid to worship.  พวกเขาเปรียบเทียบเครื่องช่วยเหมือน tuning fork, หรือ pitch pipe, เหมือนหนังสือเพลง ,หลอดไฟ, ม้าหรือเก้าอี้ในที่ประชุม , แก้วน้ำองุ่นพิธีระลึก และไมโครโฟน

     * เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการเปรียบนี้ไม่สัมพันธ์กับความเป็นจริง  Obviously , these analogies

are not parallel : tuning fork กับ pitch pipe  เป็นอุปกรณ์ที่ผู้นำเพลงมักใช้จับจับเสียงให้ถูกต้องก่อนนำเพลง แล้วก็ไม่ได้ใช้ต่อเนื่อง  ผู้นำเพลงและคนในที่ประชุมสามารถร้องเพลงต่อไปได้  แต่ถ้าใช้เครื่องดนตรีในที่ประชุม  จะได้ยินเสียงดังกลบเสียงร้องของคนที่ร้องในที่ประชุม  เป็นการแย่งชิงการนมัสการจากคนในที่ประชุม  การใช้เครื่องดนตรีไม่ต่างอะไรกับการแสดงคอนเสอร์ท  คนที่นั่งในที่ประชุมก็ไปชื่นชมเขาเล่นเครื่องดนตรี

    2. ผู้ที่บอกว่าเครื่องดนตรีเป็นอุปกรณ์ช่วยการนมัสการ  แต่ขณะเดียวกันเขายกบทเพลงสรรเสริญเพื่อสนับสนุนการใช้เครื่องดนตรี  One cannot logically argue that a musical instrument is not part of the worship and at the same time appeal to the worship in Psalms to justify having instruments.  เหตุผลดังกล่าวขัดแย้งกันในตัว 

7

         บทเพลงสรรเสริญใช้ในวิหารซึ่งอยู่ในพระคัมภีร์เดิม  ดูข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ที่ใช้เครื่องดนตรีในการสรรเสริญพระเจ้า  “praise” (aineite aineite)

2โครนิกา 5:12-14 “12 พวกเลวีที่ประโคมเพลงทั้งพวกอาซาฟ พวกเฮมาน พวกยะดูธูนกับพงศ์พันธุ์และญาติพี่น้องของเขาได้แต่งตัวด้วยผ้าป่านขาวถือฉิ่งฉาบ กระจับปี่และพิณสิบสายยืนใกล้แท่นด้านทิศตะวันออกพร้อมกับพวกเหล่านั้น มีปุโรหิตร้อยยี่สิบคนประกอบเพลงแตร 13 ครั้นพวกแตรและพวกขับเพลงทำเพลงพร้อมกันดุจเสียงเดียว ประโคมถวายฉลองพระเดชพระคุณพระยะโฮวาเมื่อเขาร้องเพลงขึ้นเสียงพร้อมกันกับวงแตรฉิ่งฉาบ และเครื่องดนตรีต่างๆ นั้นได้ขอบพระคุณสรรเสริญพระยะโฮวาว่าเพราะพระองค์ทรงพระกรุณาคุณและเพราะพระกรุณาของพระองค์ดำรงอยู่ถาวร ขณะนั้นโบสถ์วิหารของพระยะโฮวาก็เต็มไปด้วยเมฆ 14 เพียงปุโรหิตจะยืนปฏิบัติก็ไม่ได้ด้วยเหตุเมฆนั้นเพราะว่ารัศมีของพระยะโฮวาทรงแผ่คลุมทั่วเต็มโบสถ์วิหารของพระเจ้า”

        2โครนิกา 7:1-2 “ครั้นซะโลโมทรงอธิษฐานจบแล้ว ก็มีไฟลงมาจากสวรรค์ติดเผาเครื่องสักการบูชาทั้งปวงนั้นและรัศมีของพระยะโฮวาแผ่ซ่านทั่วเต็มโบสถ์วิหาร 2 พวกปุโรหิตจะเข้าไปในโบสถ์วิหารของพระยะโฮวาไม่ได้เพราะรัศมีของพระยะโฮวาแผ่ซ่านทั่วเต็มโบสถ์วิหารของพระองค์”

         แสดงว่าพระเจ้าพอพระทัยสิ่งที่กษัตริย์ซะโลโมทำ

     3. หัวใจสำคัญที่สุดของการร้องเพลงคือเนื้อร้องหรือถ้อยคำที่ใช้ร้อง  The most important

part of our singing is the words.  เนื้อเพลงที่ร้องอาจจะพิมพ์บนแผ่นกระดาษ หรือเป็นหนังสือเพลง  หรือร้องเพลงด้วยความจดจำ หรือฉายที่จอภาพ เราก็ยังทำหน้าที่ในการร้องเพลงด้วยปากเปล่าได้เหมือนปกติ  ร้องเพลงด้วยปากกับเนื้อเพลงไปควบคู่กัน  ซึ่งเครื่องดนตรีทำหน้าที่ตรงนี้ไม่ได้  เครื่องดนตรีช่วงชิงการใช้เสียงด้วยปากของคน

VII. “การนมัสการของคริสเตียนไม่ได้กำหนดไว้เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องการอำนาจอนุญาต”    

     “CHRISTIAN WORSHIP IS NOT REGULATED SO NO AUTHORITY IS NEEDED”

       1. บ้างให้เหตุผลว่าเพราะพระคัมภีร์ไม่ได้กำหนดการนมัสการไว้  เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องการอำนาจ

อนุญาตให้ใช้เครื่องดนตรีได้  One argument is that the New Testament does not regulate worship, no authority for the instrument is needed.  ถ้าเหตุผลนี้ใช้ได้  เหตุผลข้ออื่นๆก็เป็นอันว่าตกไปโดยปริยาย   ถ้าเหตุผลการนมัสการโดยไม่มีอำนาจที่

พระเจ้าอนุญาต  แสดงว่าใครจะเลือกเอาอะไรเข้ามาในการนมัสการก็ได้  เช่นการกราบไหว้รูปปั้นนางมาเรีย, รูปปั้นอัครสาวก, น้ำศักดิ์สิทธิ์, ใช้ธูปเทียน ,เผาเครื่องหอม  หรือสิ่งอื่นๆที่เพิ่มเข้ามา  การนมัสการจะกลายเป็นว่าใครมีรสนิยมอะไร  ชอบอย่างไหนก็เลือกเอาตามใจชอบนำเข้ามาปฏิบัติในคริสตจักร  ผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ใหม่จะไม่มีความรู้สึกว่า พระเจ้าจะปล่อยการนมัสการอย่างไรก็ได้ตามใจเรา  มัดธาย 15:8-9 “คนเช่นนี้นับถือเราด้วยริมฝีปากแต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา 9 เขาปฏิบัติเราโดยหาประโยชน์มิได้ด้วยเอาคำของมนุษย์สอนว่าเป็นพระบัญญัติ"”

       2. ความจริงคือว่าการใช้เครื่องดนตรีเวลานมัสการไม่ได้กล่าวถึงสักครั้งเดียว  The topic of

        instrumental music in worship is not mentioned in the New Testament at all. 

8

           นักฟื้นฟูศาสนาหลายคนปฏิเสธการใช้เครื่องดนตรีในการนมัสการ  ด้วยเหตุผลเพราะสิ่งที่เขาอ่านจากพระคัมภีร์ใหม่ว่าไม่พบการใช้เครื่องดนตรี

      * ไม่มีวี่แววในพระคัมภีร์ใหม่ที่บ่งชี้ว่า  คริสเตียนยุคแรกคิดจะนมัสการพระเจ้าโดยไม่

ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์  เปาโลตักเตือนให้คริสเตียนโกรินโธใช้ชีวิตโดยการปฏิบัติตามสิ่งที่ได้เขียนไว้ (1โกรินโธ 4:6)  นั่นคือน้ำพระทัยของพระเจ้าที่สำแดงไว้ในพระคัมภีร์ใหม่

      3. การที่พระเยซูไม่ได้สอนเรื่องดนตรีเราเหมาเอาเองว่าใช้ได้  แสดงว่าผู้ใช้เครื่องดนตรีละเมิด   If the contention that Jesus never addressed the  issue of music had any validity, then the instrumentalist would be guilty of presumption in their practices.   ทำไม?  เพราะพระเยซูเงียบ  การเงียบไม่ใช่ใบอนุญาตให้ใช้  จริงอยู่พระเยซูไม่เคยพูดถึงปัญหาของคริสตจักรในวันข้างหน้า  ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ พระองค์บอกอัครสาวกว่า  พระองค์มีหลายอย่างที่จะบอกพวกสาวก  แต่เกรงว่าพวกเขาจะแบกไม่ไหว  เวลานั้นพระองค์สัญญาที่จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อทรงนำพวกเขาไปสู่ความจริงทุกอย่าง  (โยฮัน 16:12-13)  บทพื้นฐานที่เราอ่านจากหนังสือกิจการ  เราพูดได้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำพวกสาวกในการร้องเพลงด้วยปากเปล่า  แต่ไม่ใช่นำพวกสาวกให้ใช้เครื่องดนตรี

VIII. “คริสตจักรได้รับเสรีภาพในการเลือก”  “THE CHURCH HAS BEEN GIVEN FREEDOM”

        1. บ้างให้เหตุผลว่าพระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้ห้ามมิให้ใช้เครื่องดนตรีในการนมัสการ  Some assert

         that the New Testament neither prescribes nor prohibits the use of instrumental music, in worship.  พวกเขาก็เลยเหมาเอาว่าคริสตจักรมีเสรีภาพที่จะเลือกว่าจะนมัสการพระเจ้าอย่างไร?  พวกเขาให้เหตุผลว่าในคริสตจักรยุคแรกพวกยิวที่ออกมาจากลัทธิยูดายที่ทำพิธีสุนัด และถือวันเทศกาลต่างๆ  พวกเขาสรุปว่าในพระคัมภีร์เดิมมีการใช้เครื่องดนตรีนมัสการพระเจ้า  ดังนั้นคริสตจักรควรมีเสรีภาพที่จะเลือกใช้เครื่องดนตรี  หรือเลือกที่จะไม่ใช้ก็ได้

       * เปาโลได้ยกประเด็นเรื่องพิธีสุนัด เรื่องการรับประทานอาหาร วันหยุดเทศกาลต่างๆ 

เปาโลบอกว่าการปฏิบัติตามพระคัมภีร์เดิมของพวกยิวถูกยกเลิกไปแล้ว  แต่เปาโลไม่ได้ยกประเด็นเครื่องดนตรีในการนมัสการ  เพราะฉะนั้นเราจะต้องพิจารณาความที่พระคัมภีร์ “เงียบ”  พ่อค้าสั่งของไปให้ลูกค้าสิ่งที่ลูกค้าไม่ได้สั่ง  ภายหลังเรียกเก็บเงิน  ลูกค้าบอกว่าเขาไม่ได้สั่งคุณคิดเองทำไม  ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลก็จะเก็บเงินไม่ได้เพราะลูกค้าไม่ได้สั่ง  พ่อค้าจะรู้ทันทีว่า “การเงียบ” คือ “การห้าม”  “การเงียบไม่ใช่เป็นใบอนุญาต”  จะใช้ความเงียบเป็นเสรีภาพทำตามใจตัวเองไม่ได้  เป็นการใช้เสรีภาพเกินขอบเขต

9

สรุป : 1. ทุกคนเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่า  ความเชื่อในพระเยซูไม่ใช่เป็นทางเลือก  We can all

agree that belief in Jesus is not a choice.  เพราะฉะนั้นโดยความเชื่อเราจะเลือกทำตามใจเราได้ไหม?  พระเจ้าสั่งให้กลับใจเสียใหม่และรับบัพติศมา  คำสั่งเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติตาม ไม่ใช่เป็นทางเลือก  พระเจ้ายอมรับเครื่องบูชาของเฮเบ็ลเพราะทำโดยความเชื่อ

(เฮ็บราย11:4) พระเจ้าปฏิเสธเครื่องบูชาของคายิน  เพราะไม่ได้กระทำโดยความเชื่อ  คือไม่ได้ทำตามคำตรัสสั่งของพระเจ้า

      2. ที่จะยืนยันให้เห็นว่าการใช้เครื่องดนตรีนมัสการในคริสตจักร  เขาจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าพระเจ้า

เห็นด้วย  To justify the use of instrumental music in worship of the New Testament Church, one needs to show that God is please with it.  จากหลักฐานในพระคัมภีร์ใหม่  และคริสตจักรยุคแรก , ยุคบรรพบุรุษ , ยุคฟื้นฟู และปฏิรูป  ไม่มีการใช้เครื่องดนตรี

     3. โปรดระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูตรัส  ใน โยฮัน 4:23-24 “แต่วันนั้นก็ถึงเดี๋ยวนี้แล้วคือคนทั้งหลายที่ได้

นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดาโดยจิตวิญญาณและโดยความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนอย่างนั้นนมัสการพระองค์ 24 พระเจ้าเป็นพระวิญญาณและผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการโดยจิตวิญญาณและความจริง"”