ReadyPlanet.com
dot dot
dot
ปฏิทินกิจกรรม
dot
bulletโรงเรียนภาคฤดูร้อน
bulletงานรวมพี่รวมน้อง
bulletงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
bulletกิจกรรมทุกวันเสาร์(สัปดาห์ที่ 3 และ 4 ของเดือน)
bulletข่าวสารของคริสตจักร มิตรภาพ
dot
สื่อมัลติมีเดีย ของคริสตจักร
dot
bulletคำเทศนาเรื่อง การใช้เครื่องดนตรีในเวลานมัสการ
bulletเพลงสรรเสริญพระเจ้า (Eng)
dot
รอบรั้ว คริสตจักรของพระคริสต์ มิตรภาพ
dot
bulletสมาชิกที่มิตรภาพ
dot
หนังสือต่างๆ ของทางคริสตจักร
dot
bulletหนังสือที่น่าสนใจ
dot
บทความ โดยสุบิน ปั้นบุญ
dot
bulletบทความ โดยสุบิน ปั้นบุญ
bulletหนังสือ และบทความ
bulletคริสเตียนใหม่
bulletงานฟื้นฟูประจำปี
bulletสมัครบทเรียนทางไปรษณีย์...ฟรี
bulletเว็บเพจ และข่าวสาร ของ คริสตจักร (มิตรภาพ)
bulletบทความในวารสาร ของคริสตจักร


แบนเนอร์ตัวอย่าง


การนมัสการที่พระเจ้ายอมรับ กับการนมัสการที่นอกรีต


การนมัสการที่พระเจ้ายอมรับ  กับการนมัสการที่นอกรีต

 ACCEPTABLE WORSHIP VS. PERVERTED WORSHIP

(โยฮัน 4:21-24)

พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า "หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดาเฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่ยะรูซาเลม 22 ซึ่งพวกเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จักแต่ซึ่งพวกเรานมัสการ เรารู้จักเพราะว่าความรอดนั้นเนื่องมาจากพวกยูดาย 23 แต่วันนั้นก็ถึงเดี๋ยวนี้แล้วคือคนทั้งหลายที่ได้นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดาโดยจิตวิญญาณและโดยความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนอย่างนั้นนมัสการพระองค์ 24 พระเจ้าเป็นพระวิญญาณและผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการโดยจิตวิญญาณและความจริง"

อารัมภบท : สืบเนื่องจากการเผยแพร่ทาง face book เว็บไซท์ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องการนมัสการ  มีการบิดเบือนพระคำของพระเจ้ามากมาย 

คำนำ : 1. การสนทนาระหว่างพระเยซูกับหญิงซะมาเรีย  The conversation between Jesus

and Samaritan woman.  บทที่สี่ของโยฮันได้บันทึกการสนทนาที่น่าสนใจระหว่างพระเยซูกับหญิงชาวซะมาเรียที่บ่อน้ำยาโคบ  เธอได้กล่าวกับพระเยซูว่า ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นว่าท่านเป็นผู้ทำนาย 20 บรรพบุรุษของพวกเราย่อมนมัสการที่ภูเขานี้แต่พวกท่านว่าตำบลที่ควรนมัสการนั้นคือยะรูซาเลม  (ข้อ 19-20)  พระเยซูตอบว่า พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า "หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดาเฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่ยะรูซาเลม 22 ซึ่งพวกเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จักแต่ซึ่งพวกเรานมัสการ เรารู้จักเพราะว่าความรอดนั้นเนื่องมาจากพวกยูดาย 23 แต่วันนั้นก็ถึงเดี๋ยวนี้แล้วคือคนทั้งหลายที่ได้นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดาโดยจิตวิญญาณและโดยความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนอย่างนั้นนมัสการพระองค์ 24 พระเจ้าเป็นพระวิญญาณและผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการโดยจิตวิญญาณและความจริง

(ข้อ 21-24)  บทเรียนของเราต้องการเน้นที่ข้อ 24  ข้อนี้ตั้งมาตรฐานในการนมัสการในการเป็นที่ยอมรับไว้ 2 ประเด็นด้วยกันซึ่งเราไม่ควรมองข้าม  ข้อ 23 พระเยซูย้ำว่า  แต่วันนี้ก็ถึงเดี๋ยวนี้คือคนทั้งหลายที่ได้นมัสการอย่างถูกต้อง  ถ้ามีการนมัสการอย่างถูกต้องก็หมายความว่า ถ้าไม่นมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริงก็แปลว่า นมัสการไม่ถูกต้องหือ นมัสการนอกรีตนั่นก็คือพระเจ้าเป็นพระวิญญาณและผู้ที่นมัสการพระองค์ต้อง


นมัสการโดย

จิตวิญญาณและความจริง

      2. การนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ หมายถึงการนมัสการที่ออกมาจากใจ  Worshipping

God in Spirit has reference to worshipping Him from the heart.  เป็นการนมัสการพระเจ้าอย่างมีสติ และด้วยความจริง อย่างมีเหตุมีผล เป็นการนมัสการโดยสติปัญญาและด้วยความตั้งอกตั้งใจ  ไม่ใช่แค่พิธีเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการสนุกสนาน หรือระบายอารมณ์

     3. การนมัสการพระเจ้าด้วยความจริง หมายถึงการปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้า 

Worshipping God in truth refers to that which must be according to God’s revealed will.  คำของพระองค์เป็นความจริง(โยฮัน 17:17)  ใครก็ตามที่นมัสการพระเจ้าไม่ได้เป็นไปตามคำสั่งของพระเจ้า  เท่ากับเป็นการไร้ประโยชน์  เท่ากับว่าไม่เป็นการนมัสการพระเจ้า  เพราะพระองค์ไม่ยอมรับการนมัสการที่ไม่เป็นไปตามความจริง  ผู้นั้นทำผิดสิ่งที่พระเยซูได้ตรัสใน

มัดธาย 15:8-9 คนเช่นนี้นับถือเราด้วยริมฝีปากแต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา 9 เขาปฏิบัติเราโดยหาประโยชน์มิได้ด้วยเอาคำของมนุษย์สอนว่าเป็นพระบัญญัติ"  ข้อนี้สอนชัดเจนว่าพระเยซูไม่ยอมรับการนมัสการที่นอกรีต  มีความบกพร่องอะไร?  ประการแรก:  นับถือด้วยริมฝีปาก  แต่ใจอยู่ห่างไกล  ประการที่สอง : เอาคำของมนุษย์สอนว่าเป็นพระบัญญัติ  หมายถึงการนมัสการตามความคิดเห็นของตัวเอง ไม่ปฏิบัติตามพระคัมภีร์

* ท่านเห็นแล้วว่า ด้วยจิตวิญญาณและ ความจริงเป็นสิ่งสำคัญในการนมัสการ  ถ้า

ขาดอันหนึ่งอันใดถือว่าเป็นการนมัสการที่ไร้ประโยชน์  เพราะฉะนั้นสำคัญมากไม่ใช่เฉพาะแค่เราจะต้องเข้าใจว่า การนมัสการประกอบด้วย 5 ประการเท่านั้น  เราจะต้องเข้าใจว่าการนมัสการต้องประกอบด้วยจิตวิญญาณและความจริง

I. คำจำกัดความของการนมัสการ  WORSHIP DEFINED

    1. มีภาษากรีกหลายคำที่แปลว่า การนมัสการ There are many Greek words translated

      “worship”  แต่คำที่ใช้มากที่สุดคือคำว่า proskuneoปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่ 60 ครั้ง

       Joseph Henry Thayer  : “หมายถึงการคุกเข่าใช้หน้าผากสัมผัสกับพื้นสำแดงความ

        เคารพ- ในพระคัมภีร์ใหม่เป็นการคุกเข่าสำแดงความเคารพหรือการอธิษฐานแก่ผู้ที่เคารพ 

       เห็นชัดว่าการนมัสการคือการแสดงความเคารพ พูดสั้นๆก็คือขอบคุณพระเจ้า1

 

 

1. Joseph Henry Thayer, Greek- English Lexicon of the New Testament     

   (Grand Rapids, MI : Zondervan publishing House, 1977, p.548

 


II. นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ  WORSHIPPING GOD IN SPIRIT.

การนมัสการของเราจะต้องเป็นด้วย จิตวิญญาณ  เล็งที่ท่าทีในใจ ของผู้ที่นมัสการ  จะต้องเป็นการสำแดงความเคารพ ให้เกียรติ์ ยกย่อง สรรเสริญที่หลั่งไหลจากใจของผู้นมัสการไปถึง

พระเจ้า

         Guy N. Woods, ให้คำจำกัดความว่าผู้ที่นมัสการที่แท้จริงคือผู้ที่นมัสการพระเจ้าด้วย

ความจริงใจ ด้วยจิตใจที่แท้จริงและโดยสติปัญญา เป็นการต่อต้านการนมัสการที่ไม่จริงใจ เป็นแต่เพียงพิธีรีตอง  การนมัสการที่แท้จริงเป็นการนมัสการพระเจ้าพระบิดา และนมัสการด้วย "จิตวิญญาณและความจริง ด้วยความจริงใจ และสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์  ผู้ที่ปฏิบัติตามหลักดังกล่าวเท่านั้น  จึงถือว่าการนมัสการจึงจะเป็นที่ยอมรับ  นี่แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่การนมัสการทุกอย่างจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า  เป็นไปได้ที่คนจะนมัสการพระเจ้า  แต่ไม่ใช่การนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง  ดังนั้นจึงไม่เป็นที่ยอมรับ ....2

     1. ปัจจุบันการนมัสการเน้นความสนใจไปที่ความพอใจของคน  ไม่ใช่ความพอพระทัยพระเจ้า 

       Today the emphasis has been changed to the worshippers rather to God.  ความห่วงใยเพราะคนโฟกัสอยู่ที่ทำตามใจปรารถนาของคน  และโน้มเอียงไปในความบันเทิงเร้าอารมณ์มากกว่าที่จะให้พระเจ้ายอมรับ-เป็นการแสดงบนเวทีทำให้คนในที่ประชุมจ้องมองดู  แทนที่จะนมัสการพร้อมๆกันในที่ประชุม  พระเจ้าหายไปจากภาพ กลายเป็นคนบนเวที  เกี่ยวกับการนมัสการแบบการใช้เครื่องดนตรีประกอบเราได้ยินคนยุคใหม่วิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่ยึดพระคำของพระเจ้าเป็นหลักด้วยคำพูดเชิงสบประมาทว่า  คนหัวโบราณ,พวกเต่าล้านปี”, พวกหัวคร่ำครึ” ,“พวกยึดประเพณีเก่าแก่”, “พวกน่าเบื่อหน่าย” “พวกกบในกะลา พวกคนยุคใหม่ต้องการคิดใหม่ทำใหม่ ทำสิ่งแหกออกจากประเพณีเดิมๆ  ใช้วิธีการตลาดเพื่อดึงดูดให้คนมาร่วมประชุมเยอะๆ

    2. กลุ่มตัวแทนคิดใหม่ทำใหม่เรียกร้องให้มีการ เปลี่ยนตามคริสตจักรต่างๆอย่างกว้างขวาง 

These ideas are from the “Change Agents” running rampant through the New Testament Church.  พวกเขาตะโกนเรียกร้องให้ เปลี่ยน ! เปลี่ยน ! Change CHANGE !  ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยน ถ้าทำตามคนเหล่านี้นั่นหมายความว่าคริสตจักรจะไม่เป็นไปตามแบบพระคัมภีร์ใหม่  จะกลายเป็นลัทธิใหม่ กลุ่มชนเหล่านี้พร้อมที่จะเปลี่ยนไปตามกระแสลมสุดแล้วแต่มนุษย์จะพาไปทางไหน  สิ่งที่เป็นอย่างปัจจุบันวันพรุ่งนี้จะเปลี่ยนไป  ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ  การเปลี่ยนแปลงจะกระเจิดกระเจิงไม่มีที่สิ้นสุด  เพราะไม่มีกรอบ  สิ่งที่พระเจ้าตรัสสั่งไว้ในพระคัมภีร์เขาไม่ต้องการที่จะปฏิบัติตาม  ลัทธิศาสนา

ดังกล่าวมีจุดประสงค์ในการสนองความต้องการของมนุษย์ - เน้น–ความบันเทิง สนุกสนาน

 

 

    2. Guy N. Woods, A Commentary on the gospel According to John  

       (Nashville, TN : Gospel Advocate Co., 1981) , p. 82-83


 

ใช้วิธีการตลาดเพื่อดึงดูดพวกวัยรุ่น

         เปาโลเตือนว่า เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง(เอเฟโซ 4:14)

     3. เราได้ยินเสียงเรียกร้องว่า เราต้องเปลี่ยนถ้าเราไม่เปลี่ยนเราก็ตาย  “Yes” we are told

       “we must change or die”  เราต้องเปลี่ยนเพื่อจะตามโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง  ถ้าเราจะเจริญขึ้นพวกเหล่านี้บอกว่าเราต้องเปลี่ยน !  เราต้องเปลี่ยน เพื่อจะนำวิญญาณคนที่ยังไม่เป็นคริสเตียนทั้งพวกนิกาย และชาวโลก  เพราะฉะนั้นทำอะไรก็ได้ถ้าสามารถดึงดูดคนให้มาเยอะๆ  ยิระมะยาเตือนในครั้งโบราณ 626 B.C. ว่า พระยะโฮวาได้ตรัสดังนี้ว่าเจ้าทั้งหลายจงยืนขึ้นที่ทางทั้งปวงพิจารณาถามดูว่า ทางเก่าๆ ทางที่ดีนั้นอยู่ไหนแลจงดำเนินในทางนั้นเถิด แลเจ้าทั้งหลายจะได้ความสุขสำหรับจิตวิญญาณของพวกเจ้าแต่เขาทั้งปวงได้ตอบว่าพวกเราไม่ไปในทางนั้น

            (ยิระมะยา 6:16)

     * ในบรรดาสิ่งที่พวกเขาต้องการเปลี่ยน การนมัสการเป็นหัวใจที่เขาบอกว่าจำเป็นต้องเปลี่ยน 

           In this realm of Change for which many are clamoring, understand that worship is central to that which MUST be changed.

     4. พวกคนยุคใหม่ต้องการเปลี่ยนสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัว  These liberals

want to act as it areas they want to change are merely areas of personal judgment.  พวกคนยุคใหม่ต้องการจะเปลี่ยนสิ่งที่พระคัมภีร์สอนไว้  เพราะพวกเขาคิดว่าสิ่งที่เขาต้องการจะเป็นเรื่องความคิดเห็นส่วนตัว  เขาบอกว่าเขาไม่ได้ละเมิดเขาไม่บาป  ความจริงก็คือสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัวซึ่งเป็นสิ่งที่เขาอยากจะเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ขัดกับพระคำของพระเจ้า  สิ่งที่พวกเขาอยากจะเปลี่ยน  มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนได้  เพราะพระเจ้าตรัสไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว  ยกตัวอย่างเช่น คายินกับเฮเบ็ล  พระเจ้าไม่ยอมรับเครื่องบูชาของคายิน  เพราะคายินเปลี่ยนเครื่องบูชาตามความคิดเห็นของตนเอง  พระเจ้ายอมรับเครื่องบูชาของเฮเบ็ล  เพราะเฮเบ็ลถวายเครื่องบูชาโดยความเชื่อ  โดยความเชื่อหมายความว่าตามคำตรัสสั่งของพระเจ้า (เยเนซิศ 4, เฮ็บราย 11:4)

     5. กลุ่มตัวแทนที่อยากเปลี่ยนกลายเป็นพวกนอกรีต  These change agents are agents of

perversion.   เพราะฉะนั้น กลุ่มตัวแทนการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นกลุ่มตัวแทนที่

นอกรีต  พูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงในชีวิตการเป็นนักเทศน์เป็นเวลา 45 ปี ที่เห็นมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในประเทศไทย และที่สหรัฐอเมริกา  จุดประสงค์เพียงเพื่อจะเปลี่ยนเพื่อสร้างบรรยากาศทางการตลาด  เพื่อนำลูกค้าให้มาโบสถ์  ผมเฝ้ามองดูคริสตจักรสามแห่งที่อเมริกา  คริสตจักร Montgomery อาลาบามา สมัยเป็นนักศึกษาผมและครอบครัวไปคริสตจักรที่นั่น คริสตจักรมีชื่อว่า Highland Church of Christ.  ตอนแรกก็ดีมาก  ต่อมา

เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงจากนักเทศน์และผู้นำ เช่นมัคนายกพูดในชั้นว่าจิบเหล้าเพื่อสังคมไม่เป็นไร  ผู้ปกครองสูบบุหรี่ได้ ฯลฯ  ก้าวต่อไปคริสตจักรเปลี่ยนชื่อเป็น ที่ประชุม

คริสเตียนโดยตัดคำว่าคริสตจักรของพระคริสต์ออกไป  ต่อมาเปลี่ยนเป็น Grace Churchล่าสุดไม่มีที่ประชุมแห่งนี้แล้ว  คริสตจักรแห่งที่สอง เริ่มทำอะไรแปลกๆ มีการปรบมือเวลานมัสการ มีการชูมือโบกไปมาเวลาอธิษฐาน  อีกแห่งอยู่ที่ San Antonio Texas  ชื่อ Oakhill church of Christ มีชายหญิงประมาณ 8 คนถือไมโครโฟนยืนขึ้นนำเพลงนมัสการ ปัจจุบันใช้เครื่องดนตรีบนเวทีแล้ว ณ วันนี้คริสตจักรแห่งนี้ drop คำว่า คริสตจักรของพระคริสต์ออกไป  เหลือแค่ Oakhill  เพื่อไม่ให้คนนอก หรือนิกายสะดุด

III. นมัสการพระเจ้าด้วยความจริง  WORSHIPPING IN TRUTH.

     1. ถ้อยคำจากนักวิชาการ  Quotation from scholar.

         ผมอยากยกข้อความจาก Guy N. Woods (นักเทศน์ของคริสตจักรของพระคริสต์เสียชีวิต

         แล้ว)

               มัดธาย 2:8 (พวกปราชญ์ได้มาถวายนมัสการพระกุมารเยซู)  คำว่า นมัสการ

         จากภาษากรีกจากคำว่า Proskuneo  (Proskuneo)หมายถึงการสำแดงความเคารพต่อพระผู้ทรงสร้าง (ดูมัดธาย 4:9-10, 18:26)

          (1) การนมัสการ ประกอบด้วยการกระทำ  เป็นการไม่ถูกต้องที่จะพูดว่าการนมัสการ

ประกอบด้วยท่าทีในจิตใจแต่เพียงอย่างเดียว  ในเมื่อการนมัสการประกอบด้วยการกระทำ  ดังนั้นองค์ประกอบอีกประการหนึ่งคือการกระทำจึงมีความสำคัญ  เหมือนกับการนมัสการที่มาจากใจ

          (2) คำในภาษากรีก การนมัสการเกี่ยวข้องกับท่าทีในใจ  และท่าทีในใจนั้นสำแดง

                ออกเป็นการกระทำ ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยพระเจ้า  เพราะฉะนั้นการนมัสการจำเป็นต้องประกอบด้วยการกระทำ  ความพยายามที่จะเอาการกระทำแยกออกจากใจ  เกิดจากคนที่ปรารถนาจะเพิ่มเครื่องดนตรี  ที่พระเจ้าไม่อนุญาตเข้ามามีส่วนในการนมัสการ 

                พระคัมภีร์ให้อำนาจเราในการนมัสการอย่างไร?  คริสตจักรยุคแรกภายใต้การนำ

           โดยคนของพระเจ้าที่ได้รับการดลใจ  ตั้งมั่นคงอยู่ในคำสอนของจำพวกอัครสาวก ซึ่งประกอบด้วย  การร้องเพลง การทำพิธีระลึก การถวายทรัพย์ การอธิษฐาน และการศึกษาพระคำของพระเจ้า  องค์ประกอบในการนมัสการที่พระเจ้ากำหนดไว้อย่างเจาะจงชัดเจนสำหรับการนมัสการของคริสเตียนยุคแรก  (กิจการ 2:42, 20:7, 1โกรินโธ 16:1-2)  ทำอะไรน้อยกว่านี้ก็ถือว่า  เราไม่ได้นมัสการพระเจ้าตามชอบพระทัยของพระองค์  ทำอะไรที่มากกว่านี้เท่ากับเป็นการขัดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า3

 

 

    3. Guy N. Woods, Questions and Answers, Vol. II 

       (Nashville, TN : Gospel Advocate Co., 1986) , p. 149-150


                ท่านสามารถเห็นได้จากถ้อยคำของ Guy N. Woods เกี่ยวกับบทเรียนของเราในวันนี้ 

          การนมัสการที่พระเจ้ายอมรับกับการนมัสการที่นอกรีต  เราควรจดจำไว้เสมอ

    2. เมื่อเรานมัสการพระเจ้าด้วยความจริง  เรานมัสการพระองค์ตามระเบียบแบบแผนที่พระเจ้า

 กำหนดไว้ในพระคัมภีร์  When we worship God “in truth” we are worshipping

 according to the Scripture. พระเจ้าไม่เคยอนุญาตให้มนุษย์นมัสการพระองค์ตามใจชอบ

     * พระเจ้าไม่ยอมรับเครื่องบูชาของคายิน  เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่ง  Cain’s worship was

           refused because he did not follow the prescription given by God.

     * พระเจ้ายอมรับเครื่องบูชาของเฮเบ็ลเพราะได้ปฏิบัติตามคำสั่ง  Abel’s worship was

           accepted because he act according to the way was prescribed by God

     * พระเจ้าลงโทษนาดาบกับอะบีฮูเพราะไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง  God punished Nadab and

Abihu because they did not act according to the way was prescribed by God.

และนาดาบและอะบีฮูบุตรชายของอาโรน ทั้งสองคนเอากระถางใส่ไฟแล้วใส่เครื่องหอมบูชาถวายต่อพระพักตร์พระยะโฮวาด้วยไฟอื่นที่พระองค์มิได้ตรัสสั่งให้ใช้ 2 และมีไฟออกมาจากพระยะโฮวาเผาเอาสองคนนั้นให้ตายต่อพระพักตร์พระยะโฮวา(เลวีติโก 10:1-2)

                   นี่เป็นบทเรียนที่พวก Change Agents(พวกนิยมการเปลี่ยนแปลง) ต้องเรียนให้

ขึ้นใจ  บุตรชายทั้งสองของอาโรนได้นำไฟจากที่อื่นมาเผาเครื่องหอมบูชา  ซึ่งพระเจ้าไม่ได้สั่ง พวกเขาไม่ได้ทำผิดเพราะบกพร่องต่อหน้าที่  ทั้งสองทำผิดเพราะได้เพิ่มสิ่งที่พระเจ้าได้สั่ง  พระเจ้าออกคำสั่งเจาะจงไปแล้ว  (อาฤธโม 3:4)  เขาตายเพราะเขาได้เอาไฟที่อื่นมา

    3. องค์ประกอบในการนมัสการที่พระเจ้าสั่งนั้นมีสอนไว้ชัดเจนในพระคัมภีร์ใหม่  These items God

      has authorized in worship Him are clearly taught in the New Testament.  เรานมัสการพระเจ้าด้วยการ ร้องเพลง อธิษฐาน ทำพิธีระลึก ถวายทรัพย์ และรับฟังพระคำของพระเจ้า  แต่พวก Change Agents หรือพวกนิยมการเปลี่ยนแปลง  ต้องการตัดองค์ประกอบเหล่านี้ออกไป  พวกเขาโต้แย้งว่าวิธีของพระเจ้าไม่ดีพอสำหรับคนในศตวรรษที่ 21  เราต้องเปลี่ยน เปลี่ยนโน่น เปลี่ยนนี่ เปลี่ยนเพื่อให้ทันสมัย

            Rubel Shelly and Randall Harris  กล่าวว่าสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย สิ่งที่ไม่เป็นที่สร้าง

แรงบันดาลใจ  คือเหตุการณ์ที่เรียกว่าการนมัสการในคริสตจักรทั้งหลายของเราในปัจจุบันนี้  จำเป็นต้องเปิดทางให้กับการนมัสการที่มีการเร้าใจ เป็นประสบการณ์ของอารมณ์ที่มาจากพระเจ้า  เป็นการบำรุงขวัญ ควบคู่กับการสำแดงออกในชีวิตของผู้ที่นมัสการทั้งหลาย

 

 

4. Rubel Shelly and Randall Harris The second Incarnation (West Monroe, LA.

   Howard Pub. 1992), p 13

           

คำถามแรกที่เราต้องการถามคือ  เป็นเวลานานเท่าไรที่  การนมัสการของเราน่า

         เบื่อหน่ายไม่สร้างแรงบันดาลใจ?  คำพูดนี้เป็นความจริงในทุกวันนี้แสดงว่าสิ่งที่เราทำตาม

         คริสเตียนยุคแรก  นั่นก็หมายความว่าการนมัสการน่าเบื่อหน่าย ไม่เป็นที่เร้าใจ  ไม่สร้างแรงบันดาลใจนานมาแล้วด้วยเหมือนกัน  พวกคนยุคใหม่เอาอะไรมาเป็นเครื่องตัดสินว่าสิ่งที่

         คริสเตียนยุคแรกเขาทำกันน่าเบื่อหน่ายต้องมีการเปลี่ยน  พวกคนยุคใหม่ไม่กล้าพูดว่า

         คริสเตียนยุคแรกทำอะไรโง่ๆ ทำอะไรผิดๆ  แต่เขาพูดว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยน  เพราะต้องการเปิดประตูให้คนภายนอกเข้ามาเป็นคริสเตียนกันเยอะๆ   ถ้ามีการนำวิญญาณด้วยการเล่นคอนเสอร์ต เต้นรำ ส่งเสียงอึกกระทึก ครึกโครมในที่ประชุมวันนี้ วันหน้าจะมีอะไรเพิ่มเข้ามาอีก?

          * พวกคนยุคใหม่บอกว่าเราต้องทำให้การนมัสการ เป็นประสบการณ์ที่ร้อนแรงเร้าใจ  The

Change Agents said we must make our worship an “exhilarating experience”  ถ้าคิดเช่นนี้ก็หมายความว่าเราปล่อยให้ความคิดของสังคมภายนอกเป็นมาตรฐานในการตัดสินว่าเราควรทำหรือไม่ทำ  แทนที่จะใช้พระคัมภีร์เป็นมาตรฐาน  ถ้าใช้สังคมเป็นมาตรฐานก็จะต้องมีการเปลี่ยนเสมอไป  ความพยายามของคนหัวสมัยใหม่ต้องการเปลี่ยนคริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้เป็นเหมือนนิกาย  คริสตจักรของพระคริสต์ในอเมริกาเหล่านี้ในปัจจุบันไม่แตกต่างอะไรกับนิกายเพ็นเตคอสเลย

     * คำถามข้อต่อมาคือ  อีกนานสักเท่าไรที่พวกหัวสมัยใหม่จะนำคริสตจักรไปสู่

ลงพระวิญญาณ? (ที่มีการล้มกลิ้ง ชักดิ้นบนพื้น ไม่ต่างอะไรกับศาสนาอื่น) The next question is : How long will it be before these agents of change are let into “holy rollerism?” ถ้าไม่มีมาตรฐานที่มาจากพระคัมภีร์ ไม่ช้าไม่นานบรรยากาศการนมัสการ  ที่มีการปลุกเร้าให้เกิดอารมณ์ที่พวกเขาอ้างว่าเป็นประสบการณ์ที่มาจากพระเจ้า  บรรยากาศแบบนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับการไปชมคอนเสอร์ต  คริสตจักรของพระคริสต์บางแห่งในอเมริกาเป็นไปแล้ว พวกเขาพูดง่ายๆ ว่าทำอะไรก็ได้อยู่ที่ใจ

    4. นักร้องเดี่ยว นักร้องสี่เสียง และกลุ่มนักร้องเพลงประสานเสียง หรือ ควายส์  Solos ,Quartets

      and Choirs.   สิ่งที่ไม่เกินความคาดหมายได้เกิดขึ้นแล้ว คริสตจักรบางแห่งมีการใช้นักร้องเดี่ยว นักร้องสี่เสียง และกลุ่มนักร้องเสียงประสาน (หรือที่เรียกว่า Choirs)  เวลานมัสการในที่ประชุม  เหตุผลของพวกที่กระทำการเหล่านี้ที่เขาเรียกว่านักดนตรีพิเศษ  Special musicians.  Alexander ได้เขียนว่า

            Thomas A Langford  ข้าพเจ้าไม่ต้องการโต้แย้งเรื่องนี้  แต่เพื่อจุดประสงค์ของ

บทความนี้ ข้าพเจ้าขอชี้แจงว่า การมีนักร้องเดี่ยว นักร้องสี่เสียง หรือกลุ่มนักร้องเสียงประสาน  ถ้ารู้จักดำเนินการให้ถูกก็จะไม่เป็นการละเมิดคำสอนของพระคัมภีร์  และสามารถ

 

เป็นเครื่องมือในการสอน และการหนุนใจกันและกันด้วยบทเพลง5

            สิ่งที่ Alexander ลืมไปก็คือว่า เอเฟโซ 5:19 และ โกโลซาย 3:16  กำหนดไว้ให้ร้อง

         เพลงพร้อมกันในที่ประชุมไม่ใช่ร้องเดี่ยว หรือร้องร้อง Quartets หรือ Choirs  

         ในที่ประชุมสัมมนา- “Christian Scholars Conference” Langford ได้กล่าวว่า

              Thomas A Langford เราไม่รู้แน่ว่าสิ่งที่เปาโลกล่าวใน  เอเฟโซ 5:19 และ

โกโลซาย 3:16  เป็นการร้องพร้อมกันในที่ประชุม หรือ เป็นการร้องเพลงเป็นการส่วนตัวคนเดียว  หรือคริสเตียนร้องเพลงร่วมสามัคคีธรรมแต่สองสามคน  ข้อพระคัมภีร์อาจจะหมายถึงการร้องเพลงโซโล่หรือร้องเพลงกันเป็นกลุ่มก็ได้6

                 ข้อเขียนของนาย Langford เท่ากับเป็นการสรุปว่าเราไม่สามารถรู้ความจริงได้  ความ

         จริงก็คือเขาปฏิเสธพระคำของพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้ง  อีกแห่งหนึ่งเขากล่าวว่า

                 นาย Langford กล่าวต่อไปอีกว่าข้าพเจ้าไม่สงสัยว่าพระคัมภีร์สั่งให้คริสเตียนในที่

ประชุมร้องเพลงพร้อมกัน (ibid. , p. 11)  ถ้านาย Langford บอกว่า ร้องเพลง Solos ร้องเพลง Quartets และมี Choirs ในที่ประชุมได้  ขณะเดียวกันเขารู้ว่าพระคัมภีร์สั่งให้ร้องเพลงพร้อมกันในที่ประชุมได้  พระเจ้าจะสั่งให้เราทำสองอย่างที่ขัดกันได้อย่างไร?

     5. บทบาทของสตรีในที่ประชุมนมัสการ  Woman in leadership roles.  พวกหัวสมัยใหม่รีบเร่ง

ที่จะลอกเลียนแบบของนิกายต่างๆ  เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงส่งเสริมให้สตรีมีบทบาทในการนำที่ประชุมนมัสการในคริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ในปี 1989  คริสตจักรที่ Brookline Church of Christ in Boston  ใช้สตรีให้มีบทบาทนำประชุมมานานหลายปี  ในปี 1989 ผู้ปกครองที่คริสตจักร Bering Drive ที่ Houston Texas  ใช้สตรีนำร้องเพลง นำอธิษฐาน และนำพิธีระลึก ในปีเดียวกัน คือ 1989 การประชุมใหญ่ Jubilee  ที่ Nashville  มีความร้อนรนที่จะใช้สตรีในการนำประชุม  มีการอนุญาตให้ผู้หญิงสอนในชั้นซึ่งมีผู้ชายอยู่ในที่ประชุม 7

               ในปี  1990 คริสตจักร Cahaba Valley  ที่  Birmingham, Alabama ได้ประกาศให้มี

         มัคนายกชายและหญิง  รวมทั้งใช้ผู้หญิงให้เป็นผู้นำนมัสการวันอาทิตย์ตอนเช้า 8

   

 

 

 

5,6. Thomas A Langford, “The Case for Renewal in a Capella Music”   Quoted   by    

   Steve Miller, “Christian Scholar conference 1993 on Special Music”  Firm

   Foundation (Houston , TX : Firm Foundation Pub, Co, November ,1994), p.10-11

7. Andy Kizer, “Women Leading in Worship”  Waymark, Jan. 10, 1990 p. 4 

8. Elder, Cahaba Valley Church of Christ,  Birmingham, Al, statement

   to the members of the Cahaba valley Church of Christ , Jan 1990

 

     เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1992  Carroll Osborn,  โปรเฟรสเซอร์พระคัมภีร์ที่มหาวิทยาลัย Abilene Christian University  ยืนยันที่ A.C.U Lectureship ว่า  ผู้หญิงในคริสตจักรยุคแรกถ้าได้รับอนุญาตจากอัครสาวกสามารถทำการเทศนาในที่ประชุมนมัสการของสิทธชนในวันอาทิตย์  และสามารถนำอธิษฐานในที่ประชุม

     * พระคัมภีร์ว่าอย่างไร?   ไม่มีผู้หญิงทำหน้าที่ในการเทศนาในที่ประชุม  No women in the

Bible have ever preached in the public worship.  พระคัมภีร์ได้บันทึกสตรีหลายคนเช่น  ซารา ริบะคา ดะโบรา ฮันนา มาเรียมารดาของพระเยซู เอลิซาเบ็ธ มาเรียมัฆดาลา มาเรีย และมาธา พี่สาวของลาซะโร  ปริศกิลา ฟอยเบ และผู้หญิงคนอื่นๆ  ผู้หญิงเหล่านี้พวกหัวสมัยใหม่ไม่สามารถหยิบยกมาเป็นตัวอย่างในการพิสูจน์ว่าผู้หญิงเหล่านี้มีหน้าที่เทศนา และนำประชุม  เพราะไม่มีผู้หญิงสักรายเดียวที่เทศนาตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้

     * ความรับผิดชอบตามบทบาทไม่ใช่เป็นการลดเกียรติ์ให้ต่ำลง  Levels of authority do

not constitute inferiority.  เอเฟโซ 5:22-23 22 ฝ่ายภรรยา จงยอมฟังสามีของตน เหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า 23 เพราะว่าสามีนั้นเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์เป็นศีรษะของคริสตจักร โดยที่พระองค์เป็นผู้ทรงช่วย (คริสตจักร คือ) ร่างกาย (ของพระองค์) ให้รอด 24 แต่คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ฉันใด ภรรยาก็ควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น  เปาโลไม่ใช่บอกว่าภรรยาอยู่ในฐานะด้อยกว่าสามี  ข้อ 25 เปาโลบอกว่า  25 ฝ่ายสามีจงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างพระคริสต์ได้ทรงรักคริสตจักรด้วย และได้ทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักรนั้น

     * พระเจ้าได้ตั้งหลักการเกี่ยวกับบทบาทของสามีในที่ประชุมของคริสตจักร  God has also

           established principles that are exist in the Church assembly.

·     1ติโมเธียว 2:12 ข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสั่งสอนหรือใช้อำนาจเหนือผู้ชาย แต่ให้         

     เขานิ่งๆ อยู่

·     1โกรินโธ 14:33-35 33 เพราะว่าพระเจ้าไม่เป็นเหตุให้เกิดการวุ่นวาย แต่เป็นเหตุให้เกิด

สันติสุขดังที่ปฏิบัติกันอยู่ในบรรดาคริสตจักรแห่งสิทธชนนั้น 34 จงให้พวกผู้หญิงนิ่งเสียในที่ประชุม เพราะไม่ทรงยอมให้เขาพูด แต่จงให้เขาอยู่บังคับบัญชา เหมือนที่มีคำทรงบัญญัติไว้แล้วนั้น 35 ถ้าเขาอยากรู้สิ่งใดก็ให้ถามสามีที่บ้าน เพราะว่าที่ผู้หญิงจะพูดในที่ประชุมนั้นก็น่าอาย

                อีกครั้งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงไม่ด้อยกว่าผู้ชาย  แต่หมายถึงการทำหน้าที่ตามบทบาท 

           ของตน  เหมือนนักเทศน์ และสมาชิกอยู่ภายใต้การปกครองของผู้ปกครองของคริสตจักร 

 
 
 

 

9. H.A. “Buster” Dobbs, Editorial: “Role of Women” Firm Foundation,

    July, 1992, p.2

                

แต่ไม่ใช่ต่ำต้อยกว่าผู้ปกครอง

           1โกรินโธ 11:3 แต่ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่าพระคริสต์เป็นศีรษะของชายทุกคน และชายเป็นศีรษะของหญิง และพระเจ้าเป็นศีรษะของพระคริสต์

              ข้อความเหล่านี้สอนว่า สตรีไม่สามารถเทศนาหรือสอนในที่สาธารณะ  ในที่ประชุมซึ่งมี

ผู้ชายอยู่ด้วย  ผู้หญิงสามารถสอนสตรี หรือสอนเด็กได้  หรือสอนส่วนตัวคนที่ยังไม่เป็น

คริสเตียนได้เหมือนปริศกิลากับอะกุลา  (กิจการ 18:26)

    6. การใช้เครื่องดนตรีประกอบการนมัสการ  Instrumental music.

ในยุคการปฏิรูปศาสนาในศตวรรษที่ 18 คริสตจักรของพระคริสต์ในอเมริกาได้แตกแยกกันเป็นเสี่ยงๆ  ด้วยการนำเครื่องดนตรีเข้ามาใช้ในเวลานมัสการในที่ประชุม  ที่รัฐเคนตัคกี้  (ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเห็นเครื่องดนตรีเจ้าปัญหาเป็นเครื่อง Organ ชิ้นแรกที่ใช้ เป็นพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในตู้กระจก)  เหมือนที่บางคนกล่าวไว้ว่า  สิ่งเดียวเท่านั้นที่มนุษย์รู้จากประวัติศาสตร์ก็คือมนุษย์ไม่ได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์

     * ในศตวรรษที่ผ่านมามนุษย์นมัสการรูปเคารพที่เป็นเครื่องดนตรี  In the last century,

man was determined to bow before his idol (instrumental)  ผลทำให้คริสตจักรแตกแยก  สมัยนี้ก็เช่นเดียวกันเด็กวัยรุ่นยุคใหม่ต้องการนำเอาเครื่องดนตรีเข้ามาใช้ประกอบการนมัสการในคริสตจักร  เขาบอกว่ามันอยู่ที่ใจเราต่างหากใช้การนมัสการอยู่ที่ ใจ  แต่ต้องประกอบด้วย ความจริง  (1โกรินโธ 14:15)

     * คนหัวสมัยใหม่พยายามหาเหตุผลจากพระคัมภีร์ว่าเพราะพระคัมภีร์เงียบ  The argument

from the change Agents is on the “silence” of Scripture.  ไม่ได้ห้ามไม่ให้ใช้แสดงว่าใช้เครื่องดนตรีได้  ถ้าการที่พระคัมภีร์เงียบหมายความว่าเป็นการเปิดประตูให้เราสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ  ถ้าจะเอากลองเข้ามาตีในที่ประชุม หรือเอาคอนเสอร์ตมาเล่นในที่ประชุม หรือเต้นรำในที่ประชุม ฯลฯ ก็ย่อมทำได้เพราะคัมภีร์ไม่ได้ห้ามขอเรียกร้องให้ผู้ที่ใช้เหตุผลว่า  เพราะพระคัมภีร์ไม่ได้ห้าม  คิดถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ลงโทษนาดาบกับอะบีฮู  ทั้งสองถูกลงโทษถึงชีวิตเพราะได้เพิ่มเติมในสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้สั่ง 

พระเจ้าไม่ได้ห้ามนาดาบกับอะบีฮูไปเอาไฟที่อื่น  แต่พระเจ้าเจาะจงลงไปว่าต้องเอาไฟที่แท่นถวายเครื่องบูชา  ถ้าพระเจ้าจะต้องเขียนข้อห้ามต่างๆลงในพระคัมภีร์เราจะมีที่พอหรือ  แต่พระเจ้าเจาะจงว่า ร้องเพลง

     * การใช้เครื่องดนตรีในพระคัมภีร์เดิม  ไม่เป็นอำนาจให้เราใช้เครื่องดนตรีในสมัยนี้  The use

of such instruments in the Old Testament does not give us authority to do so.  บัญญัติต่างๆในพระคัมภีร์เดิมไม่มีผลบังคับใช้ในสมัยของคริสเตียนในยุคนี้  ในยุค

 

นี้เราอยู่ภายใต้คำสัญญาไมตรีใหม่  ในยุคของคริสเตียน (รายละเอียดเราจะศึกษาใน

ตอนต่อไป)

โกโลซาย 2:14-16 14 พระองค์ได้ทรงฉีกสารกรมธรรม์ซึ่งได้แต่งไว้ในบัญญัติต่างๆ ซึ่งเป็นที่ขัดขวางและต่อสู้เรา และได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้น โดยทรงตรึงไว้ที่กางเขนนั้น 15 พระองค์ได้

ทรงทำลายผู้มีบรรดาศักดิ์และผู้มีฤทธิ์ พระองค์ได้ทรงประจานเขา และเอาชัยชนะต่อเขาได้โดยกางเขนนั้น16 เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกินหรือการดื่มหรือการถือวันเลี้ยงหรือวันต้นเดือนหรือวันซะบาโต

     * การที่หนังสือวิวรณ์กล่าวถึงการใช้เครื่องดนตรีในสวรรค์  นั่นก็ไม่ใช่เป็นอำนาจให้เราใช้เครื่อง

              ดนตรีเวลานมัสการในที่ประชุม  Neither does the fact they are mentioned as being in heaven give us authority to implement their use.  หนังสือวิวรณ์เป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ และเป็นภาพพจน์ไม่ใช่เป็นไปตามตัวอักษร

              (วิวรณ์ 1:1)  การใช้เหตุผลดังกล่าวเราอาจเอาสิ่งอื่นๆที่หนังสือวิวรณ์กล่าวถึงนำมาใช้ในการนมัสการด้วย  เช่นการเผาเครื่องหอม (5:8) 

                 ความจริงก็คือเปาโลโดยการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ให้อำนาจในการร้อง

เพลงด้วยปากเปล่า “Capella” เป็นเสียงดนตรีจากริมฝีปาก (Vocal music)  เอเฟโซ 5:18-19 และ โกโลซาย 3:16  ให้ ร้องเพลง  การร้องเพลงเป็นคำสั่งเฉพาะเจาะจงลงไป  โดยไม่มีเครื่องดนตรีประกอบ  การใช้เครื่องดนตรีประกอบเท่ากับเป็นการเพิ่มคำสั่งของพระเจ้า  สังเกตข้อความใน 

เอเฟโซ 5:19 ...ร้องเพลงและกล่าวคำสรรเสริญในใจของท่านทั้งหลาย ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า(สรรเสริญในใจไม่ใช่สรรเสริญด้วยเครื่องดนตรี)

โกโลซาย 3:16 ... คือร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยใจกรุณาคุณ(สรรเสริญพระเจ้าด้วยใจไม่ใช่เครื่องดนตรี)

ฮ็บราย 13:15 เหตุฉะนั้นให้เราถวายคำสรรเสริญพระเจ้าเป็นเครื่องบูชาเสมอโดยพระองค์นั้น คือผลแห่งริมฝีปากที่กล่าวสรรเสริญพระนามของพระองค์ (ผลแห่งริมฝีปากที่กล่าวสรรเสริญ)

เฮ็บราย 2:12 และตรัสว่า เราจะประกาศพระนามของพระองค์แก่พวกพี่น้องของเรา เราจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางจำพวกสัปบุรุษ

สรุป : 1. ความแตกต่างระหว่างการนมัสการที่พระเจ้ายอมรับ  กับการนมัสการที่นอกรีตอยู่ที่พระคำ

ของพระเจ้า  That which distinguishes acceptable worship from perverted worship is the word of God.  พระคำของพระเจ้าบอกว่าเราจะต้องนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง  ทั้งสองต้องไปควบคู่กัน  ถ้าขาดอันหนึ่งอันใดนั่นหมายความว่า

         พระเจ้าไม่ยอมรับการนมัสการ  แม้ว่าจะมีความจริงใจ  และมีความปรารถนาดี  แต่

         ความจริงใจไม่เป็นมาตรฐานในการตัดสินว่าพระเจ้ายอมรับ

     2. ขอให้เราทั้งหลายตั้งใจที่จะทำให้การนมัสการของเราเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า  Let each of us

determine that our worship will be acceptable to God ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติตามพระคำของพระเจ้าเราก็ต้องกล้าหาญที่จะเปลี่ยน  สิ่งใดที่เป็นความคิดเห็น  ถ้าทำให้ดีขึ้นก็จงปรับปรุงให้ดีขึ้นเถิด

     3. แต่ในทางตรงกันข้ามเราอย่าเปลี่ยน  เพียงเพราะว่ามีคนเรียกร้องให้เปลี่ยน  But on the

other hand, let us be wary to change something just because someone is constantly urging us to change.   การเปลี่ยนไม่ใช่เป็นความบาป  แต่ถ้าเราละเมิดพระคำของพระเจ้าเราต้องกลับใจ../ 




บทความ โดยสุบิน ปั้นบุญ

สิ่งที่คุณเป็นคือสิ่งที่คุณทำ
หลักปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีความทุกข์
คนพิการสองคน
จะสื่อความให้ไพเราะเสนาะหูอย่างไร?
ทำอย่างไรเพื่อให้การนมัสการในที่ประชุมมีประสิทธิภาพ?
ช่วยกันสร้างบรรยากาศที่ดีในการนมัสการ
แม่รู้ผู้เดียว
บ้านที่หวานชื่น
เหตุผลดีที่จะไปโบสถ์ และเป็นคริสเตียนที่ดีจนแก่เฒ่า
ยกเว้นเฮนรี !
สิ่งที่พ่อควรใส่ใจ
อยากจะเป็นในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
อาณาจักรโรมล่มสลาย
งานฟื้นฟูอยู่ที่ไหน?
บริจาคสำหรับซาตาน
การฝึกสอนเด็ก
การอุทิศตน
โอพระเจ้า โปรดเห็นใจเถอะ!
ภาพสะท้อนของคนอหังการ
การถ่อมสุภาพ
การยกโทษ
การเจริญเติบโตขึ้น
ความรักมีอานุภาพ
เอลวิส เพรสลีย์ กลายเป็นรูปเคารพ
พระเจ้ายิ่งใหญ่
ภรรยาควรปฏิบัติตัวต่อสามีอย่างไร?
สมมุติว่าพระเยซูไม่ได้เกิดมาอะไรจะเกิดขึ้น?
ปฏิกิริยาของผู้ไม่เชื่อพระเจ้า
พระเจ้าเป็นหนี้บุญคุณเราหรือเปล่า?
คำเทศนาที่สมดุล
ลัทธินอกรีต
เชื่อกับไม่เชื่อ
ผู้ไม่เชื่อพระเจ้าขัดแย้งกับศาสนาคริสต์
ทำกับคนในครอบครัวของท่านก่อน
ทำไมเราควรไปร่วมประชุมเพื่อนมัสการพระเจ้า?
มีนัดกับพระเจ้าแล้ว
ชีวิตที่แตกต่าง
ทำการดีประจำวัน
จงฝันใหญ่, แต่จงโฟกัสอยู่ที่รายละเอียดจุดเล็กๆ
หลักการในการถวายทรัพย์ตามแบบพระคัมภีร์
คนโบราณเตือนคนสมัยใหม่
คำเทศนาที่ทรงพลัง
นักเทศน์ชนิดต่างๆ
การเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงชนิดต่างๆ
ใครที่คิดว่าเป็นผู้อยู่ในฝ่ายวิญญาณจิตต์
ความสามรถในการวินิจฉัยมีคุณค่ามหาศาล
รอยเท้าเป็นหลักฐาน
ความเมตตาปราณีทำให้โลกน่าอยู่น่าอาศัย
พ่อแม่เป็นคริสเตียนแต่ไม่ไปโบสถ์
พระคัมภีร์แห่งชีวิต article
บัญญัติ 10 ประการเพื่อปรับปรุงคริสตจักรให้ดีขึ้น article
พระเยซูเป็นตัวอย่าง article
เหตุผลดีที่จะไปโบสถ์ และเป็นคริสเตียนที่ดีจนแก่เฒ่า
คำถามเรื่องการใช้เครื่องดนตรีในเวลานมัสการ # 6
คำถามเรื่องการใช้เครื่องดนตรีในเวลานมัสการ # 5
คำถามเรื่องการใช้เครื่องดนตรีในเวลานมัสการ # 4
คำถามเรื่องการใช้เครื่องดนตรีในเวลานมัสการ # 3
ประวัติโดยย่อของคริสตจักร มิตรภาพ
ใช้เครื่องดนตรีเวลานมัสการได้ไหม?
การนมัสการคืออะไร?
ทำไมคริสตจักรของพระคริสต์ไม่ใช้เครื่องดนตรีเวลานมัสการพระเจ้า



Copyright © 2011 All Rights Reserved.

คริสตจักรของพระคริสต์ มิตรภาพ
ที่อยู่ :  เลขที่ 838 ซ.ดาราฉาย อ่อนนุช 46 เขต :  สวนหลวง แขวง : สวนหลวง
จังหวัด : กรุงเทพฯ      รหัสไปรษณีย์ :10250
เบอร์โทร :  02-321-1099