ตามรายงาน Mr. Jon Vanในที่ประชุมประจำปี 1995 ของสมาคมอเมริกันเพื่อความก้าวหน้าวิทยาศาสตร์ American Association for the Advancement of Science. จากการศึกษาค้นคว้าและวิจัยชี้ให้เห็นความสำคัญของการสำแดงความเมตตาปราณีในความสัมพันธ์ที่มีต่อกันและกันในชีวิตประจำวันอย่างมาก
ในการทดลอง นักวิจัยได้บอกอาการของคนไข้ และมอบให้นายแพทย์ 44 คน ตรวจดูอาการของผู้ป่วย จุดประสงค์ของการศึกษาไม่ต้องการรู้ว่านายแพทย์เหล่านี้สามารถตรวจอาการผู้ป่วยได้ดีหรือไม่ ก่อนจะมีการทดลองนักวิจัยได้มอบช็อกโกเลตคนละถุงให้แก่นายแพทย์ 22 คน ของจำนวนนายแพทย์ 44 คน ที่เข้าร่วมโครงการวิจัย ช็อกโกเลตเป็นเครื่องหมายของการแสดงความขอบคุณแก่นายแพทย์ที่ร่วมมือในการวิจัย ส่วนนายแพทย์อีก 22 คน ไม่ได้รับอะไรเลยเป็นการตอบแทน
สรุปผลการวิจัยมีดังนี้
Alice Isenนักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Cornellสรุปว่า นายแพทย์ที่ได้รับช็อกโกเลต 22 คน
แสดงความขอบคุณได้ทำหน้าที่ในการตรวจอาการคนไข้ได้ดีกว่าอีกกลุ่มที่ไม่ได้รับช๊อกโกเลต Alice Isen
ได้อธิบายว่า “ความรู้สึกที่ดีๆส่งผลให้การปฏิบัติภารกิจเป็นที่ประทับใจ เป็นประโยชน์อย่างมาก และช่วยให้มีสายสัมพันธ์ที่อบอุ่นดีเยี่ยม ”
เมื่อพระเจ้าบอกให้เราแสดงความเมตตาปราณีแก่ผู้อื่นพระองค์มีเหตุผลดีมาก ความเมตตาปราณีเป็นกลไกของพระเจ้าในการทำให้โลกน่าอยู่น่าอาศัย “ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้นคือ ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดกลั้นไว้นาน ความปราณี ความดี ความสัตย์ซื่อ” (ฆะลาเตีย 5:22) “ เหตุฉะนั้นจงสวมใจเมตตา ใจปราณี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน เหมือนดังพวกที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก”(โกโลซาย 3:12)