โลกและจักรวาล
เกิดขึ้นเองหรือพระเจ้าเป็นผู้สร้าง?
มีคำถามที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทุกคน
(1) มนุษย์มาจากไหน?
(2) มนุษย์มาอยู่ที่นี่ทำไม?
(3) มนุษย์ตาย แล้วไปไหน?
(4) ทำไมมนุษย์จะต้องตาย?
(5) มนุษย์จะถูกพิพากษา ในวันสิ้นโลกไหม?
คำตอบอยู่ในบทเรียน บทที่หนึ่งนี้
โลกที่เราอาศัยอยู่นี้มหัศจรรย์จริงๆ ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ นับตั้งแต่สัตว์เซลส์เดียว ตัวเล็กๆ ที่มอง ด้วยตาเปล่าไม่เห็นจนถึงสัตว์มหึมาเท่าช้างหรือปลาวาฬนอกจากสิ่งมีชีวิตนานา ชนิดรวมทั้งมนุษย์แล้วก็ยังมีสิ่งไม่มี ชีวิตเช่น แร่ธาตุ, สารเคมีและวัตถุต่างๆ ที่ประกอบเป็นโลก ของเราอันสวยสดงดงาม สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? เกิดมาเองหรือ?หรือมีผู้สร้าง?
มีพระเจ้าผู้ทรงสร้างจริงหรือ?
พระเจ้าได้เสนอข้อพิสูจน์ไว้ในธรรมชาติ
คำว่าธรรมชาติในที่นี้หมายถึง ทุกสิ่งในจักรวาล และในโลกรวมทั้งสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต้องมองด้วย กล้องจุลทัศน์ สารพัดทุกสิ่งในธรรมชาติแสดงให้เห็นฝีพระหัตถ์ของพระผู้ทรงสร้าง ดูความสวยงามของ ธรรมชาติ ท้องฟ้าสีคราม ดวงดาวนับจำนวนไม่ถ้วนในท้องฟ้า สารพัดทุกสิ่ง เหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
สิ่งเหล่านี้ในตัวของมันเองไม่ได้สอนเราหรือว่าคง จะต้องมีผู้สร้างมันขึ้นมามันคงไม่เกิดขึ้นมาเองแน่ คงจะมีผู้สร้างทุกสิ่งและทุกสิ่งก็ขยายพันธุ์ของ มันเองตาม กฎแห่งการแพร่พันธุ์ Law of Procreation พิจารณาดูทุกสิ่งในธรรมชาติ เรา เห็นว่าไม่มีอะไรสักสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีผู้ สร้างถูกแล้วเมื่อมองธรรมชาติเราไม่เห็นพระเจ้า แต่ในธรรมชาติเราเห็นความมหัศจรรย์อันเร้นลับ และ ฤทธานุภาพของพระเจ้า สำแดงในธรรมชาติ อัครสาวกเปาโลกล่าวไว้ในหนังสือโรม 1:19-20 “เหตุว่าการที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็มีแจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย ด้วยว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดง ความนั้นแก่เขาแล้ว ด้วยว่าอาการของพระเจ้าซึ่งเห็นไม่ได้นั้น คือ ฤทธานุภาพอันถาวร และ สัมภวะ ของพระองค์ ก็ทรงปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้นตั้งแต่แรกสร้างโลก เขาทั้งหลายจึง ไม่มีข้อที่จะแก้ตัวได้”
จากข้อความนี้ชี้แจงว่า มนุษย์ทั่วใต้ฟ้าไม่มีข้อแก้ตัวได้ว่า เขาไม่รู้จักพระเจ้า ทำไมจึงเป็น เช่นนั้น? ...เหตุที่เป็นเช่นนั้นได้ก็เพราะพระเจ้าได้ทรงสำแดงพระองค์เองไว้ในธรรมชาติ เมื่อมองดู ธรรมชาติผู้มีสติปัญญาควรจะคิดว่ามันว่ามิได้เกิดขึ้นเอง จะต้องเป็นผีมือผู้ที่เป็นสถาปนิกที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีฤทธานุภาพอยู่เบื้องหลัง เป็นผู้บันดาลให้สารพัดทุกสิ่งเกิดขึ้น กษัตริย์ดาวิดแหงนตาดูท้องฟ้า แล้วตรัสว่า “ฟ้าสวรรค์แสดงพระรัศมีของพระเจ้า และท้องฟ้าประกาศพระหัตถกิจ” (บทเพลง สรรเสริญ 19:1) ข้อความนี้ชี้แจงให้เห็นความอัศจรรย์ในธรรมชาติที่ประกาศพระหัตถกิจของ พระเจ้าสังเกตดูความเร้นลับในธรรมชาติทำให้เราคิดว่าจะต้องมีผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมามีหลักสาม ประการที่ทำให้เราคิดว่าจะต้องมีผู้สร้างคือ
(1) แบบแปลน : สะท้องให้เห็นว่าจะต้องมีผู้ออกแบบ
(2) ระเบียบ : สะท้อนให้เห็นว่าจะต้องมีผู้จัดระเบียบ
(3) สติปัญญา : ทั้งแบบอันประณีต และระเบียบอย่างไม่มีที่ติ แสดงให้เห็นว่าจะต้องมีผู้มีสติปัญญาอยู่เบื้องหลัง ผู้มีสติปัญญาก็คือ พระเจ้า ไม่ใช่สสารไม่ใช่ เกิดขึ้นมาเอง โดยบังเอิญ โดยอาศัยหลักสามประการดังกล่าวพิจารณาดูตัวอย่างดังต่อนี้
จักรวาลมีแบบที่มหัศจรรย์
สมมุติว่า ท่านไปพักแรมที่ภูกระดึงตอนเช้าวันรุ่งขึ้นท่านตื่นขึ้นพบว่ามีเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุค อยู่ในเต้นท์ของท่านท่านคิดว่าคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นมาจากไหนกันแน่?ท่านคิดว่าเครื่องคอม พิวเตอร์ ตกมาจากต้นไม้หรือ? หรือเป็นอะไหล่รถยนต์เก่าสักคันหนึ่งที่อาศัยเวลานานๆเป็นล้านๆ ปีจึงวิวัฒนาการกลายเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้! คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ อีเลคโทรนิคที่ละเอียดประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างมีระบบเพราะฉะนั้นท่านจึงเข้าใจ ว่า คอมพิวเตอร์โน้ตบุคเครื่องนี้ได้ถูกออกแบบ หรือ Design หรือถูกสร้างขึ้นโดยคนบางคน จักรวาลของเราเกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน จักรวาลของเราใหญ่โตมโหราฬมีรัศมีประมาณ 20 พันล้านปีแสง (หมายความว่า ถ้าท่าน สามารถเดินทางด้วยความเร็วเท่ากับความเร็วของแสง 186,000 ไมล์ต่อวินาทีจากขอบจักวาลฟาก หนึ่งไปขอบจักรวาลอีกฟากหนึ่ง) ในจักรวาลมีกาแลกซี่ประมาณหนึ่งพันล้านกาแลกซี่และมีดวงดาว ประมาณ 25 sextillion ดวง(เท่ากับ 25 ตามด้วยเลขศูนย์ 21 ตัว) ขนาดของจักรวาลใหญ่โต มโหราฬน่าทึ่งมาก แต่การออกแบบก็ยิ่งน่าทึ่งมากกว่านั้นอีก อุณหภูมิภายในของดาวอาทิตย์ ประมาณ 20 ล้านองศาเซลเซียส โลกของเราอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 93 ล้านไมล์พอดี โลกรับ ความร้อนจากดวงอาทิตย์และรังสีเพื่อทำให้ชีวิตอยู่รอด ถ้าโลกอยู่ในตำแหน่งที่ ใกล้ดวงอาทิตย์มาก กว่าที่เป็นอยู่เพิ่มอีก 10%โลกจะรับความร้อนและรังสีจากดวงอาทิตย์มากเกินไป หรือถ้าโลกอยู่ใน ตำแหน่งที่ห่างจากดวงอาทิตย์ไกลออกไปจากดวงอาทิตย์อีก 10% โลกจะเย็นมากจนเป็นน้ำแข็ง สภาวะดังกล่าวทั้งสองประการจะไม่สามารถทำให้มนุษย์ สัตว์ และพืชมีชีวิตอยู่บนโลกได้ แสดงว่า จะต้องมี “ผู้ออกแบบ” ที่รู้อย่างแม่นยำว่าโลกของเราควร จะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์พอดิบพอดี
ท่านที่กำลังอ่านโปรดหยุดคิดเรื่องนี้ ขณะที่ท่านกำลังอ่านหนังสือนี้ โลกของเรากำลังโคจร หมุนรอบแกนของมันเอง 1,000 ไมล์ต่อชั่วโมงที่เส้นศูนย์สูตรและโคจรรอบดวงอาทิตย์ 70,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ขณะที่ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลกำลังโคจรไปในห้วงจักรวาล ด้วยความเร็ว 600,000 ไมล์ต่อชั่วโมงขณะที่ดาวเคราะห์ต่างโคจรรอบดวงอาทิตย์พร้อมกันในเวลา ที่ต่างกันก็โคจรไปในห้วงจักรวาลน่าสนใจมากขณะที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์มันจะเคลื่อนตัวห่าง จากแนวเส้นตรงเพียง 1/9 ส่วน ของนิ้วต่อทุก ๆ 18 ไมล์ สมมุติว่าโลกจะเคลื่อนตัวห่าง 1/8 ส่วนของนิ้ว เราจะโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ เราจะถูกเผาเป็นจุล หรือถ้าเคลื่อนตัวห่างออกไป 1/10 ส่วนของนิ้ว เราจะโคจรห่างจากดวงอาทิตย์โลกเราจะหนาวตาย
อีกประการหนึ่งโลกทำมุมเอียงกับแกนโลก 23.5 องศาพอดิบพอดีถ้าโลกเราไม่เอียงตั้งอยู่ ในแนวตรงดิ่งขณะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์จะทำให้ไม่มีฤดูกาลบริเวณพื้นที่ป่าก็จะมีความร้อนสูง มากขึ้นและพื้นที่ทะเลทรายจะขยายใหญ่ขึ้น ถ้าการเอียงทำมุมเกิน 90 องศา โลกเราจะมีฤดูที่สลับ กันระหว่างฤดูหนาวที่หนาวมาก และฤดูร้อนที่ร้อนมาก ถ้าชั้นบรรยากาศที่หุ้มรอบโลกจะบางมาก กว่าเศษอุกาบาตนอกโลกจะตกลงมาบนโลกด้วยกำลังแรง และจะเกิดบ่อยมากขึ้นเป็นเหตุทำให้เกิด ภัยธรรมชาติอย่างรุนแรงทั่วโลก ข้อเพิ่มเติมนอกเหนือความจริงดังกล่าว
ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกของเรา240,000ไมล์ ระยะห่างของดวงจันทร์ก่อให้เกิดแรงดึงดูด ทำให้มีน้ำขึ้นน้ำลงในมหาสมุทร ถ้าดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกเพียงแค่หนึ่งในห้า น้ำจะขึ้นสูงมากอย่าง ท่วมท้น ท่วมผิวโลกสูงถึง 35-50 ฟุต วันละสองครั้ง ท่านคิดว่าระยะห่างของดวงจันทร์กับโลก อย่างพอดิบพอดีนั้นเป็นไปโดยบังเอิญหรือ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอัตราการหมุนรอบตัวเองของโลกจะ ถูกตัดให้ช้าลงครึ่งหนึ่งหรือเร็วขึ้นกว่าเดิม? ถ้าความเร็วลดให้ช้าลงครึ่งหนึ่ง ฤดูกาลก็จะยาวออกไปอีกเท่าตัว ซึ่งก่อให้เกิดมีความร้อนเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงและเกิดความหนาวเย็นอย่างรุนแรงครอบคลุมเป็น บริเวณพื้นผิวของโลกอย่างกว้างขวาง ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถผลิตอาหารมาเลี้ยงชาวโลก หรือแทบ จะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าอัตราการหมุนรอบตัวเองของโลกเร็วเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ฤดูกาลก็จะถูกลดลง ครึ่งหนึ่ง จะก่อให้เกิดปัญหาทำให้ไม่สามารถผลิตอาหารให้พอกับความต้องการเพื่อเลี้ยงชีวิตได้ (พอถึงเวลามะเขือเทศจะสุก ฤดูหนาวจะมาถึงแล้ว) ใครบ้างที่จะคิดว่าความพอดิบพอดีซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อชีวิตจะอยู่ได้บนโลกของเราเกิดขึ้นโดย“อุณหภูมิ”?โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์พอดี อยู่ห่างจากดวงจันทร์พอดี มีรัศมีพอดี มีความกดดันของชั้นบรรยากาศพอดี เอียงทำมุมพอดี ปริมาณของน้ำในมหาสมุทรพอดี มีน้ำหนักของมวลสารพอดีและความพอดีอื่น ๆ อีกมากมาย ความพอดีเหล่านี้เกิดขึ้นโดย “อุบัติเหตุ” อย่างนั้นหรือ ? พวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการอยากให้ ท่านเชื่ออย่างนั้น มีคนกล่าวว่าความพอดีที่เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุเปรียบเหมือนพายุใต้ฝุ่นพัดเอาเศษ เหล็กที่กองเป็นขยะโดยบังเอิญใต้ฝุ่นทำให้เศษเหล็กชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากองรวมกันเป็นเครื่องบินอย่างนั้นหรือ ? เป็นไปไม่ได้ หลังจากที่เราได้พิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดเป็นที่แน่ชัดว่า มีผู้มีสติ ปัญญา เป็นผู้ออกแบบสร้างจักรวาลขึ้นมา ผู้ออกแบบนั้นก็คือ พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
ร่างกายของมนุษย์ที่มหัศจรรย์
.jpg)
รถยนต์เป็นนวัตกรรมเครื่องจักรที่น่าทึ่งมาก มีอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยประกอบเป็นตัวรถที่ สวยงาม มีวิทยุ มีไฟหน้าช่วยส่องสว่างในยามค่ำคืน มีเครื่องยนต์ที่พาเราไปตามที่เราต้องการจะไป เทคโนโลยีของรถยนต์ยุคใหม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่งสัญญาณดาวเทียมสามารถพาเราไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยปลอดภัย แม้เราไม่เคยไปสถานที่นั้นมาก่อน แบบอันสวยงามของ รถยนต์ไม่ สามารถ นำมาเปรียบเทียบกับแบบร่างกายของมุนษย์ ซี่งเป็นเครื่องจักรกลอันมหัศรรย์จริงๆ ทำงานรวดเดียวโดยไม่หยุดเป็นเวลา 100 ปี ท่านเคยเห็นรถยนต์ที่ไหน ตั้งแต่เปิดเครื่องทำงาน รวดเดียวเป็นเวลา 100 ปีบ้างไหม? รถยนต์มีผู้ออกแบบร่างกายของมนุษย์ ก็เหมือนกันมีผู้ ออกแบบ และผู้ออกแบบก็คือ พระเจ้า ร่างกายของมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญเป็นเวลาล้านๆ ปี! โปรดพิจารณาความมหัศจรรย์ของแบบในร่างกายมนุษย์ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ออกแบบดังต่อไป
เซลในร่างกาย
ร่างกายมุษย์ประกอบด้วยเซลมากกว่า 200 ชนิด (เซลเม็ดเลือดแดง เซลเม็ดเลือดขาว เซลประสาท ฯลฯ) โดยเฉลี่ยผู้ใหญ่มีเซลรวมทั้งสิ้นประมาณ 100 trillion ถ้าเซลทุกเซลใน ร่างกายมนุษย์มาต่อเรียงกันจะยาวรอบโลก 200 รอบ จะต้องใช้ความอัจฉริยะในการออกแบบ สร้างเพื่อให้เซลต่าง ๆเหล่านี้อยู่ตามส่วนต่าง ๆในร่างกายให้มันทำหน้าที่เหมาะเจาะที่สุด
ผิวหนัง

ผิวหนังของท่านเป็นอวัยวะของร่างกายเป็นที่น่าทึ่งที่สุดปกป้องลมฝนและป้องกันแบ็คทีเรียต่างๆ รูเล็กๆ ซึ่งทำให้ขับเหงื่อออกมาเมื่ออากาศร้อนทำให้ท่านรู้สึกเย็น ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในมนุษย์ถ้าเอาผิวหนังของคนหนึ่งคนที่มีน้ำหนักตัวประมาณ65 กิโลกรัมมาแผ่ออกจะมีเนื้อที่ประมาณ 20 ตารางฟุตและหนัก ประมาณ 9กิโลกรัมผิวหนังเป็นบริเวณที่ทำงานซับซ้อน ผิวหนังขนาดเท่ากับ เหรียญ 25 สตางค์ ประกอบด้วยเส้นเลือดยาว 1 หลา เส้นประสาท 4 หลา ปลายเส้นประสาท 25 หน่วย ต่อมเหงื่อ 100 ต่อม และเซลอีก ประมาณ 3 ล้านเซล
ลิ้น

บริเวณอวัยวะของลิ้นทั้งหมดเต็มไปด้วยต่อมที่บอกรสชาดของ อาหาร ต่อมสามารถบอกรสชาดของอาหารที่ท่านชอบหรือ ไม่ชอบ เช่น ไอศครีม เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม จืด ลิ้นเป็นกล้าม เนื้อที่ช่วยใน การพูด และช่วยในการกลืนอาหาร คราวต่อไป เมื่อทานอาหารที่ ท่านโปรดกรุณาคิดถึงการออกแบบอันมหัศจรรย์ของลิ้นของท่าน
ดวงตา

ดวงตาของมนุษย์น่าอัศจรรย์และน่าทึ่งมาก ที่น่าทึ่งมากก็เพราะว่ามนุษย์ไม่สามารถประดิษฐ์ดวง ตาปลอมที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับดวงตาอันแท้จริงได้ดวงตาของมนุษย์สามารถรับสัญญาณ ข้อมูล ได้1.5 ล้านข่าวสารได้ทันที และสามารถรวบรวมข้อมูลความรู้ซึ่งถ่ายทอดจากสมองได้ถึง 80% ตาของท่านมีเซลพิเศษซึ่งจะช่วยให้ท่านมองเห็นสีสดใสในยามดวงอาทิตย์ส่องแสง และดวงตามีเซลพิเศษที่ ช่วยให้ ท่านสามารถมองเห็นแม้ในที่ไม่ค่อยมีแสงมากทุกวันดวงตา กระพริบโดยเฉลี่ยประมาณ 100,000 ครั้ง โดยใช้กล้าม เนื้อเล็กที่สุดแต่แข็งแรงมาก
หูที่อัศจรรย์

หลักฐานอันน่าทึ่งของแบบในร่างกายของมนุษย์ก็คือ หูซึ่งประกอบด้วยสามส่วน หูส่วนนอก หูส่วนกลาง และหูด้านใน คลื่นเสียงเข้าไปตามหูส่วนนอก (ด้วยความเร็ว 1,087ฟุต ต่อวินาที) คลื่นเสียงผ่านไปตามช่องหูถึงหูส่วนกลางตรงกลางช่องหูมีแก้วหูคลื่นเสียงจะกระทบแก้วหูทำให้เกิดความสั่น คลื่นสั่นส่งต่อไปยังหูส่วนในคลื่นเสียงจะส่งไปกระทบ กับกระดูกเล็กสามอันเรียกว่า ค้อน เกิดการสั่น (เป็น ชื่อที่เรียงรูปร่างกระดูกสามชิ้น)ผลทำให้เสียงขยายมาก ขึ้นแล้วส่งสัญญาณไป ยังสมองสมองทำหน้าที่ใน การแปลสัญญาณว่าเป็นเสียงอะไรได้ทันทีทันใดแบบของหูสะท้อนห้เห็น ผู้ออกแบบนี้มีฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่
ระบบโครงกระดูก

ผู้ใหญ่มีกระดูก 206 ชิ้นในร่างกายของเขา (ทารกอาจ มีกระดูกถึง 350 ชิ้นแต่เมื่อทารกโต ขึ้นกระดูกเหล่านี้จะรวมกัน) โครงกระดูกสามารถทำให้เรากระโดด วิ่ง เดิน นั่ง และเล่น และทำ หน้าที่เป็นเกราะป้องกันอวัยวะภายในของร่างกายอีกด้วย
ระบบการไหลเวียน

ระบบการไหลเวียนประกอบด้วยหัวใจ โลหิต เส้นโลหิตใหญ่ เส้นโลหิตเล็ก เส้นโลหิตดำ และมีหน้าที่อีกหลายอย่าง
ประการแรก : ระบบการไหลเวียนเป็นพาหะนำ อาหารที่ย่อยแล้วไปยัง ส่วนต่างๆของร่างกาย
ประการที่สอง : นำอ๊อกซิเจนไปยังเซลต่างๆ เพื่อเผาผลาญอาหาร
ประการที่สาม : นำเอาของเสียไปยังอวัยวะที่ขจัดของเสียออกไปจากร่างกาย ร่างกายของเรา ทำหน้าที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุด โดยเราไม่ต้องห่วงว่ามันจะทำหน้าที่ล้มเหลว
ระบบประสาท

ระบบประสาทเป็น “ศูนย์กลางการสื่อสาร” ของร่างกาย ถ้าท่านเอามือแตะเตาร้อนๆโดยอุบัติเหตุ ระบบประสาทของท่านจะจับสัญญาณความร้อนที่มือของท่านไปยังแขนของท่านสั่งให้มันชักมือออกอย่างรวดเร็ว ระบบประสาททำหน้าที่ควบคุมอวัยวะภาย ในของร่างกาย (เช่นหัวใจและตับ) นอกจากนั้นมันยัง ทำหน้าที่รับสัญญาณจากส่วนต่างๆเช่นการมองเห็น การฟัง ความรู้สึก รสชาด การดมกลิ่น และควบคุม ความคิดของเรา การเรียนรู้ของเรา และความสามารถ ในการจดจำ
เครื่องจักรชั้นยอด

มีชิ้นส่วนใหญ่น้อยมากมายประกอบกันเป็นร่างกายของเรา และชิ้นส่วนใหญ่น้อยเหล่านั้นทำงาน ประสานร่วมกันอย่างสมบูรณ์ที่สุด ท่านที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการต้องการให้ท่านเชื่อว่า ลิงเป็นบรรพ บุรุษของคน แต่ร่างกายของมนุษย์มีความแตกต่างจากลิงอย่างสิ้นเชิง เราเป็นเพียงแต่สัตว์ที่พัฒนา กว่าสัตว์ชนิดอื่นหรือ? ไม่ไช่! ข้อแรก มนุษย์ไม่ไช่สัตว์ และ ข้อสอง พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้ มีความแตกต่างจากสัตว์อื่นๆ (เยเนซิศ 1 : 27) “พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบฉายาของพระองค์และตามแบบฉายาของพระองค์นั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นและได้ทรงสร้างให้เป็นชาย และหญิง”
ท่านเห็นด้วยใช่ไหมว่าเมื่อ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์พระองค์ทรงสร้างเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพ
แบบที่อัศจรรย์ในอาณาจักรของสัตว์
แม้พวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการยังยอมรับว่า ถ้ามีบทประพันธ์จะต้องมีนักประพันธ์ ถ้ามีรูปภาพจะ ต้องมีจิตรกรที่วาดภาพ ถ้ามีแบบก็ต้องมีนักออกแบบ แต่พวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวว่า แบบที่เราเห็นในธรรมชาติยังไม่พอที่แสดงให้เห็นว่ามีพระเจ้าผู้ซึ่งเป็นผู้ออกแบบที่ยิ่งใหญ่ พวกเขา ไม่อยากยอมรับว่าสัตว์มากมายที่อัศจรรย์ซึ่งอาศัยอยู่บนโลกได้ถูกออกแบบ ข้อสรุปของพวกที่เชื่อ ทฤษฎีวิวัฒนาการถูกต้องแล้วหรือ? หรือว่าหลักฐานจากแบบของสัตว์ต่างๆ ในโลกนี้ชี้ให้เห็นว่า มีพระเจ้าผู้ออกแบบที่ยิ่งใหญ่ ให้เรายกตัวอย่างสัตว์บางชนิด เมื่อพิจารณาดูแล้วท่าน ตัดสินใจด้วย ตัวเองว่า สัตว์ต่างๆ เหล่านี้ถูกออกแบบสร้างขึ้น หรือว่ามันเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ
มังกรโคโมโด
ในทุ่งหญ้าบนเกาะโคโมโดประเทศอินโดนิเซีย มีสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมันมีรูป ร่างคล้ายกับตัวเงินตัวทองในประเทศไทย มันกำลังนอนนิ่งคอยเหยื่ออย่างสงบบังเอิญกวางตัวหนึ่ง เดินผ่านมาทางเจ้านักล่าตัวนั้นพอดี ชั่วพริบตาเจ้าสัตว์เลื้อยคลานนักล่าร่างยักษ์ก็ตะครุบเหยื่อ ด้วยเขี้ยวและกรามอันแข็งแรงของมันแล้วมันก็อิ่มด้วยอาหารค่ำอย่างเอร็ดอร่อย นักล่าเหยื่อที่ดุร้าย คือ มังกรโคโมโด ท่านอาจจะคิดว่ามังกรเป็นสัตว์ในนิยายซึ่งอัศวินต่อสู้กับมังกรด้วยหอกมังกร โดโมโดมีตัวตนจริงๆ เดินอยู่บนพื้นโลกปัจจุบัน มันไม่มีปีกบิน และมันพ่นไฟออกจากปากไม่ได้ แต่มันเป็นสัตว์ที่พระเจ้าทรงออกแบบสร้างมันขึ้นมา
มังกรโคโมโดสามารถเจริญเติบโตเต็มที่ลำตัวยาวประมาณ 3 เมตร 50 เซนต์ สองเท่าของคน และหนักประมาณ 100 กิโลกรัม ช่วงขาสั้นแต่มันเดินเร็วได้ประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร็ว เท่ากับความเร็วของสุนัข มังกรโคโมโดกินอาหารได้รวดเร็วเป็นพิเศษ ฟันอันแหลมคมของมันออก แบบให้มันสามารถกินอาหารได้เยอะ มังกรโคโมโดสามารถกลืนเหยื่อทั้งตัวได้ มังกรโคโมโดตัวเมีย สามารถฉีกหมูป่ากินทั้งตัวภายใน 17 นาที
มังกรโคโมโด สามารถกินอาหารได้อย่างรวดเร็วเพราะกระเพาะของมันรับน้ำหนักได้ 80% ของ น้ำหนักตัวมัน โคโมโดหนัก 100 กิโลกรัมสามารถกินอาหารได้ 80 กิโลกรัมลองคิดดูว่า ถ้ามนุษย์ ที่มีน้ำหนักตัว 90 กิโลกรัมสามารถรับประทานแฮมเบอร์เกอร์ได้ 320 อันภายใน 20 นาที มนุษย์ ไม่สามารถรับประทานได้มากขนาดนั้น แต่มังกรโคโมโดสามารถกินได้ ความสามารถในการกินของ มันไม่หยุดอยู่แค่นั้น ในปากของมังกรโคโมโดมีแบคทีเรียที่ เป็นเพื่อนของมันซึ่งอาศัยอยู่ระหว่าง ซอกฟันอันแหลมคม แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในปากของโคโมโดคอยทำหน้าที่กวาดเก็บกินเศษอาหาร ที่อยู่ตามซอกฟัน แบคทีเรียที่อยู่ในปากไม่ทำอันตรายโคโมโด แต่ถ้ามังกรโคโมโดไปฟัดกับศัตรู ชนิดใดก็ตาม แบคทีเรียจะทำให้เจ็บปวดเป็นพิษทำให้ศัตรูถึงตายได้ ท่านคงไม่ต้องการเห็นมันอยู่หลังบ้านของท่าน!มังกรโคโมโดมีน้อยมาก ทั้งหมดมีเหลืออยู่ประมาณ 4,000 ตัว ส่วนมากอยู่ ตามเกาะในประเทศอินโดนีเซียบางคนบอกว่ามังกรโคโมโดวิวัฒนาการขึ้นมาเองโดยบังเอิญนี่ไม่เป็นความจริง มังกรโคโมโดจะเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ และมีแบคทีเรียที่เป็นพิษอยู่ในปาก ของมันโดยไม่ ฆ่ามันแต่ฆ่าศัตรูได้อย่างไร? ความจริงก็คือพระเจ้าเป็นผู้ออกแบบในการสร้าง มังกรโคโมโดที่ อัศจรรย์เพื่อข้าพเจ้า และท่านสามารถมองเห็นฤทธานุภาพของพระเจ้าในการสร้าง
ปลาไหลไฟฟ้า
ปลาไหลไฟฟ้าสามารถมีประจุไฟฟ้าทำให้ท่านช๊อด 5 เท่ามากกว่าท่านจะเอานิ้วแหย่เข้าไปใน ปลั๊กไฟ ประจุไฟฟ้าที่อยู่ในปลาไหลไฟฟ้าที่อัศจรรย์เกิดจากปลายประสาทจำนวนมากกระจายไป ทั่วลำตัวของปลาไหลชนิดนี้ ปลายเส้นประสาทแต่ละเส้นมีกระแสไฟฟ้า เมื่อเอาปลายเส้นประสาท มารวมเข้าด้วยกัน ถ้าท่านไปสัมผัสจะทำให้เกิดไฟฟ้าช็อดได้ปลาไหลไฟฟ้าใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อสยบ เหยื่อของมันปลาไหลมีชั้นไขมันทำหน้าที่เป็นการระบายความร้อนเพื่อไม่ให้ตัวมันถูกไฟฟ้าช็อด จากตัวมันเอง ท่านคิดว่าปลาไหลไฟฟ้าได้ถูกออกแบบสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าผู้ทรงสร้างหรือมัน เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ?
ด้วงติดอาวุธ (Bombardier Beetle)

ด้วงเป็นแมลงตัวเล็กๆ ที่มีพิษร้ายกาจที่หน้าท้องของมันเป็นกลไกป้องกันตัวที่ร้ายกาจ ในลำตัว ด้วงมีต่อมที่ผลิตสารเคมีเป็นพิษสะสมพิษนี้ไว้ใน “แทงค์เก็บ”เรียกว่า “Collecting Vesicle” สารเคมีที่ด้วงผลิตคือ ไฮโดรเจนเปอร๊อกไซด์ และไฮโครควินอนส์ ถ้าศัตรูเข้ามาปะทะกับด้วง มันจะปล่อยสารเคมีทั้งสองออกจาก “ห้องระเบิด” แล้วมันจะเพิ่มเอนไซม ์เป็นส่วนผสมกับสาร เคมีทั้งสองตัวดังกล่าว ผลทำให้สารเคมีดังกล่าวผลิตเป็นของเหลวที่ร้อนจัดถึง100 องศาเซลเซียส หรือ 212 องศาฟาเรนไฮท์ ขบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นแค่สองวินาที ด้วงเล็กมีปืนกลขนาดจิ๋วหนึ่ง คู่ขนาดเท่าปลายเข็มฉีดยาอยู่ตรงส่วนหางของมันด้วงจะใช้ปืนกลคู่นั้นยิงสารเคมีที่เป็นพิษดังกล่าว เข้าใส่ศัตรูของมันทำให้คู่ต่อสู้ตายหรือแน่นิ่งไป ด้วงบินจากไปด้วยความสะใจ ด้วงสามารถผลิต สารเคมีที่เป็นพิษ และเก็บไว้ใน “แทงค์เก็บ” และสามารถพ่นสารเคมีเข้าใส่หน้าของศัตรูได้ อย่างไร? ด้วงบอมบาร์ดเดอร์ถูกออกแบบโดยพระเจ้าหรือว่ามันเกิดขึ้นโดยบังเอิญ?
ตัวเกียจคร้าน (Sloth)

สำหรับมนุษย์เดิน 5ฟุตเป็นเรื่องเล็ก เพียงแค่สองก้าวใหญ่เท่านั้น ใช้เวลาเท่าไรเดินแค่ 2 ก้าว 2 วินาที หรืออย่างมากก็แค่5วินาที มีสัตว์ชนิดหนึ่ง เดินเร็วที่สุดอย่างเก่งก็เดินได้5ฟุต ต่อนาที มันเคลื่อนตัวบนพื้นดินได้เร็วที่สุดแค่ 5 ฟุต ภายใน60วินาทีเท่านั้นนั่นป็นสถิติการวิ่งที่เร็วที่สุด ของตัวเกียจคร้าน ความเร็วปกติของมันเดินได้ 13ฟุตต่อหนึ่งชั่วโมง (แค่ 5 ก้าวของมนุษย์ เท่านั้น) เจ้าตัวเกียจคร้านเดินเชื่องช้ามากๆ แต่ความเชื่องช้าของตัวเกียจคร้านเป็นแค่ลักษณะอันหนึ่ง ของคุณสมบัติที่น่าทึ่งอันหนึ่งเท่านั้น ตัวเกียจคร้านหรือ Sloth ใช้เวลาอยู่บนต้นไม้มันใช้เวลานอน 18ชั่วโมต่อวัน (นี่เป็นที่มาของชื่อของสัตว์ชนิดนี้ที่เรียกว่าตัวเกียจคร้าน) ตัวเกียจคร้าน ใช้เวลาตื่น 6ชั่วโมงต่อวันเวลานอนหลับของตัวเกียจคร้านส่วนมากมันจะนอนเอาหัวลงมันจะกินจะนอน และทำหลายอย่างหัวกลับประมาณ15ชั่วโมงทุกๆวันเพราะการใช้ชีวิตแบบหัวกลับ พระเจ้าออกแบบ อวัยวะภายในของตัวเกียจคร้าน(เช่นกระเพาะ ตับ ถุงน้ำดี) ไปอยู่ในที่ซึ่งไม่เหมือนกับสัตว์เลือด อุ่นชนิดอื่น ตัวหมัด แมลงหวี่ แมลงปีกแข็ง ชอบอาศัยตามขนที่รุงรังของมัน มีรายงานว่า ตามลำตัวของตัวเกียจคร้านหนึ่งตัว จะมีแมลงหวี่ 100 ตัวแมลงปีกแข็ง1,000 ตัว และ หมัด 1,000ตัว ตัวเกียจคร้านไม่เหมาะที่จะเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักที่นอนปลายเตียงนอนของท่าน ตัวเกียจคร้านไม่สามารถวิวัฒนาการอวัยวะพิเศษและอาการเชื่องช้าของมัน คนที่เชื่องช้าในการเข้าใจว่า แบบในสัตว์ ชนิดนี้และสัตว์ชนิดอื่นนับล้านคือ คนที่ปฏิเสธว่าไม่มีพระเจ้า (โรม1:28) ความจริงคือว่า มีแบบในธรรมชาติถ้ามีแบบแสดงว่า มีผู้ออกแบบอย่าให้พวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ ทำให้ท่านตาบอดด้วยคำอ้างของพวกเขาที่บอกว่า มีแบบแต่แบบในสัตว์เหล่านี้เกิด ขึ้นมาโดยบังเอิญ นี่เป็นคำอ้างที่ไร้เหตุผลที่สุด
กฏไบโอเยเนซิศ
(ชีวิตต้องมาจากชีวิต)

พิภพอันมหัศจรรย์รอบตัวเราเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตเป็นจำนวนมาก แมว สุนัข ม้า วัว ควาย ช้าง หมี จิ้งจก ต้นไม้ดอกไม้รวมทั้งมนุษย์ และยังมีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นมากมาย สิ่งมีชีวิตต่างๆเหล่านี้ มาจากไหน?
ผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการสอนว่านานมาแล้วโลกเราไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลยตามคำบอกเล่าว่า ใน ที่สุดสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิต แล้วสิ่งมีชีวิตก็จะเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นไม่ เหมือนเดิม แล้วสิ่งมีชีวิตจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆไปอย่างไม่หยุดยั้ง ตามคำบอกเล่าของพวก ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ ชีวิตมีจุดเริ่มต้นมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต เมื่อชีวิตได้เริ่มต้นพืชชนิดหนึ่งจะ เปลี่ยนแปลงกลายเป็นพืชอีกชนิดหนึ่ง สัตว์ชนิดหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งในไม่ ช้าสัตว์มีการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นมนุษย์ คำถามก็คือว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเราสามารถเห็นมัน เกิดขึ้นในโลกที่อยู่รอบๆตัวเราหรือเปล่า? เปล่าเลย เราไม่เห็นเลยในชีวิตประจำวันเราสามารถ เรียนรู้สิ่งที่อยู่รอบตัวเราเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในธรรมชาติอย่างแท้จริงว่าเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้าเราถามชาวไร่ว่า ลูกวัวมาจากไหน? เขาจะตอบว่าลูกวัวเกิดมาจาก แม่วัวถามคนปลูกสวน ดอกไม้ว่า กุหลาบมาจากไหน? เขาจะตอบว่ามาจากกุหลาบต้นอื่น ถามคนเลี้ยงผึ้งว่า ผึ้งตัวอ่อน มาจากไหน? เขาจะตอบว่ามาจากการวางไข่ของผึ้งนางพญา ในธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในโลก จะเป็นเช่นนี้เสมอไปวัวจะออกลูกมาเป็นลูกวัว กุหลาบมาจากกุหลาบ ผึ้งจะผลิตเป็นตัวผึ้งมากขึ้น
วิทยาศาสตร์และกฎไบโอเยเนซิศ
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติเขาสังเกตว่า มีบางสิ่งเกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ซ้ำ ซากไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาตร์สังเกตว่ามันเกิดซ้ำซากโดยไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ สิ่งมี ชิวิต มาจากสิ่งมีชีวิตเสมอ นักวิทยาสาตร์รู้ความจริงนี้เป็นเวลาหลายปีแล้ว ในปี ค.ศ.1858 นักวิทยาศาตร์ชาวเยอรมันมีนามว่า รูดอล์ฟ เวอร์โชว์ ได้กล่าวเป็นใจความว่า “เซลทุกๆเซล เกิดมาจากเซลที่เกิดมาก่อน” ในปี ค.ศ.1860 หลุยส์ ปาสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส ได้กล่าวว่า “สิ่งมีชีวิตทุกชนิดเกิดมาจากสิ่งมีชีวิตก่อนหน้านั้น” นักวิทยาศาสตร์ในอดีตเหล่านั้น ได้กล่าวในสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันเรียกว่ากฏไบโอเยเนซิศ(Law of biogenesis) เป็น กฎที่ว่าชีวิตมาจากชีวิตก่อนกฎนี้เป็นกฎของชีววิทยาและเป็นกฎที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับกันอย่างเอกฉันท์ในธรรมชาติเราเห็นว่ากฎนี้เป็นความจริงเสมอโดยไม่มีข้อยกเว้นทฤษฎีวิวัฒนาการขัดแย้ง กับกฎไบโอเยเนซิศเพราะทฤษฎีวิวัฒนาการบอกว่าสิ่งไม่มีชีวิตกลายเป็นสิ่งมีชีวิตความจริงก็คือว่า ชีวิตย่อมมาจากสิ่งมีชีวิตก่อนหน้านี้เสมอแม้กระทั่งผู้เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการยังยอมรับกฎไบโอ เยเนซิศนี้เช่นดร.จอร์จจี.ซิมพ์ซันแห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดได้กล่าวว่า“ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า กฎไบโอเยเนซิศเป็นกฎที่ว่าชีวิตย่อมมาจากชีวิตที่มาก่อนหน้าและเซลที่เป็นหน่วยเล็กของ ชีวิตย่อมมาจากผลผลิตจากเซลเสมอโดยไม่มาจากทางอื่นแน่นอน”
พระคัมภีร์และกฎไบโอเยเนซิศ

กฎไบโอเยเนซิศสอนชัดว่าชีวิตเกิดมาจากชีวิตที่มาก่อนหน้าและชีวิตจะผลิตลูกสืบทอดเป็น ไปตามชนิดของมัน กฎนี้เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์ได้สอนเป็นเวลานาน ในเยเนซิศ 1:11-12 พระคัมภีร์ ได้กล่าวว่า “พระเจ้าตรัสให้ต้นหญ้าต้นผักที่มีเมล็ด และต้นไม้ที่มีผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิด ของ มันงอกขึ้นในแผ่นดินก็เป็นดังนั้นต้นหญ้าต้นผักที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่มี เมล็ดใน ผลตามชนิดของมัน ทุกอย่างก็งอกขึ้นที่แผ่นดิน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” เยเนซิศ 1: 24-25 “พระเจ้าตรัสให้ฝูงสัตว์มีชีวิตบังเกิดขึ้นที่แผ่นดินตามชนิดของมันคือสัตว์ใช้สัตว์เลื้อย คลานและสัตว์ป่าทั้งปวงตามชนิดของมันคือสัตว์ใช้สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ป่าทั้งปวงตามชนิด ของมัน และสรรพสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินตามชนิดของมันทุกอย่างแล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี” ข้อความในพระคัมภีร์ข้ออื่นเช่นในเลวีติโก 11:13-19 ได้กล่าวย้ำว่า ชีวิตมาจากสิ่งที่มีชีวิต เท่านั้นและชีวิตจะผลิตชีวิตเพิ่มขึ้นตามชนิดของมันกฎไบโอเยเนซิศเป็นกฎที่นักวิทยาศาสตร์ ใช้ในวิชาชีววิทยาและวิทยศาสตร์สาขาอื่นที่สัมพันธ์กันเช่น การเกษตรจนถึงวิศวพันธุกรรมกฎไบโอ เยเนซิศเป็นกฎที่สูงสุดที่คนต้องเคารพในโลกของชีววิทยา ถั่วลันเตาจะผลิตถั่วลันเตา กุหลาบจะผลิตเป็นกุหลาบ ม้าจะผลิตลูกออกมาเป็นม้า สุนัขจะผลิตลูกออกมาเป็นสุนัขนั่นเป็น การทำงาน ของกฎไบโอเยเนซิศ ทุกสิ่งจะผลิตเป็นไปตามชนิดของมัน พระคัมภีร์กับวิทยาศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ขนานแท้มีผู้ให้กำเนิดผู้เดียวกันคือ พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระเจ้าตรัสมุสาไม่ได้ (ติโต1: 2) ถ้าเช่นนั้นเราแน่ใจได้ว่าหนังสือแห่งธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเรา มีความสอดคล้องกับหนังสือพระ คัมภีร์ของพระองค์กฎไบโอเยเนซิศเป็นตัวอย่างหนึ่งตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นความจริงทุกประการ
มีผลก็ต้องมีเหตุ

ถ้าเราโยนลูกบอกจากตึกสูงจะเกิดดอะไรขึ้น? ลูกบอลจะตกลงถึงพื้น ทำไม? เพราะกฎของการ โน้มถ่วงในธรรมชาติมีกฎธรรมชาติเหมือนกับสังคมของมนุษย์มีกฎบางอย่างที่สำคัญในสังคม มนุษย์มนุษย์ได้ตั้งกฎขึ้นคำถามคือธรรมชาติมาจากไหน?คำตอบก็คือพระเจ้าเป็นผู้ตั้งกฎธรรมชาติ ขึ้นนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบและศึกษากฎเหล่านั้นนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นผู้ตั้งกฎขึ้นพระเจ้า แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีฤทธานุภาพที่จะตั้งกฎได้ “กฎธรรมชาติคืออะไร? ในวิทยาศาสตร์ กฎ คือ คำอธิบายของสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติ พูดให้เข้าใจเสียใหม่ง่ายๆว่าอะไรที่เกิดขึ้นซ้ำ แล้วซ้ำอีกโดยไม่มีข้อยกเว้นนั่นแหล่ะคือ กฎ
วิทยาศาสตร์และกฎของเหตุผล
กฎที่รู้จักันอย่างกว้างขวางในบรรดากฎของวิทยาศาสตร์ก็คือ กฎของเหตุและผลกฎนี้มีใจความ ว่า สสารทุกอย่างที่เป็นผลย่อมต้องมีเหตุที่คู่ควร ก่อนหน้าที่มันจะเกิดขึ้น พิจารณาดูตัวอย่าง ดังต่อไปนี้
หลายปีมาแล้วนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ถูกเรียกให้ไปที่ประเทศอังกฤษ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับ ความมีระเบียบของก้อนหินที่วางไว้อย่างเป็นระบบก้อนหินที่ได้ถูกค้นพบต่อมาเป็นที่รู้จักกันว่า Stonehenge เมื่อการศึกษาก้อนหินนี้ก้าวหน้าเป็นที่แน่ชัดว่า ก้อนหินที่วางเรียงรายอย่างมีระบบ ระเบียบถูกออกแบบไว้เพื่อไว้พยากรณ์ล่วงหน้าโดยอาศัยดวงดาวเป็นหลัก คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ก้อนหินใหญ่มหึมาได้ถูกเคลื่อนย้ายจากที่ไกลๆมาถึงตรงจุดนั้นได้อย่างไร? ก้อนหินที่วางเรียงราย กันนั้นสามารถหาคำตอบได้อย่างไร? และคำถามอื่นๆ อีกมากที่ยังไม่ได้รับคำตอบแต่มีสิ่งที่เด่นชัดก็คือต้นเหตุของStonehenge ออกแบบโดยมนุษย์ผู้มีสติปัญญาบางคนอาจจะกล่าวว่า Stonehenge ไม่มีมนุษย์ผู้ใดออกแบบสร้างมันขึ้นมา Stonehenge อาจจะเกิดขึ้นจากภูเขาที่ถล่มทลาย หรืออาจ จะเกิดขึ้นจากลมพายุที่กระหน่ำอย่างรุนแรงทำให้เกิดเป็นก้อนหิน Stonehenge ขึ้นมาใครอยากจะ เชื่อความคิดโง่ๆ อย่างนั้น ๆ ไม่มีใครยอมรับว่า Stonehenge “เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ” แน่นอน Stonehenge สะท้อนให้เห็นแบบอันซับซ้อน แสดงว่าจะต้องมีผู้ออกแบบแน่นอน แต่นักวิทยา ศาสตร์ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการต้องการให้เราเชื่อว่า จักรวาลและสิ่งมีชีวิตอันสลับซับซ้อนของโลกนี้ “เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ”จากขบวนการของธรรมชาติอย่างเดียวการสรุปดังกล่าวไม่ถูกต้องเพราะ “ต้นเหตุ”ที่บอกว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญยังไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะก่อให้เกิดผล
พระคัมภีร์กับกฎของเหตุและผล

พระคัมภีร์มีตัวอย่างเกี่ยวกับทัศนะของเหตุและผลเพื่อสำแดงให้เห็นว่า เมื่อเราพิจารณาว่ามีผล ของบางสิ่งบางอย่างสามารถย้อนไปถึงต้นเหตุว่าจะต้องมีต้นเหตุ ผู้เขียนหนังสือเฮ็บรายกล่าวว่า “ด้วยว่า ตึกทุกหลังคงมีผู้สร้าง แต่ว่าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงคือพระเจ้า” (เฮ็บราย 3:4) สามัญสำนึกบอก เราว่าบ้านไม่สามารถสร้างตัวมันเองได้ เพราะฉะนั้นบ้านเป็นผลของบางอย่าง ซึ่งจะต้องมีต้นเหตุที่คู่ ควรกับผลที่เกิดขึ้นนั่นก็คือ ถ้ามีบ้านก็ต้องมีผู้สร้างบ้านก่อนที่จะมีบ้าน อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ใน หนังสือโรม 1:20 เกี่ยวกับต้นเหตุของการเกิดจักรวาลใจความว่า “ด้วยว่าอาการของพระเจ้าซึ่งเห็นไม่ได้นั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและสัมภวะของพระองค์ ก็ทรงปรากฎชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ ทรงสร้างนั้นตั้งแต่แรกสร้างโลกเขาทั้งหลายจึงไม่่มี ข้อที่จะแก้ตัวได้” เปาโลใช้เหตุผลที่ถูกต้องโดยกฎของเหตุและผลและท่านต้องการให้ผู้อ่านรู้ว่า จักรวาล ก็เหมือนกับบ้านเป็นผลของการออกแบบสร้าง เพราะฉะนั้นมันต้องมีเหตุที่คู่ควร ที่ทำให้ มันเกิดขึ้นเพราะจักรวาลสำแดงให้เห็นแบบมันจะต้องมีผู้ออกแบบ เพราะจักรวาลสำแดงให้เห็นสติ ปัญญาแสดงว่า ผู้ออกแบบจะต้องมีสติปัญญาแน่นอน จักรวาลสำแดงให้เห็นชีวิต เพราะฉะนั้น ผู้ออกแบบจะต้องดำรงชีวิตเพราะมีชีวิตสำแดงให้เห็นศีลธรรมแสดงว่าผู้ออกแบบเป็นผู้มีศีลธรรม แน่นอนผู้ออกแบบก็คือ พระเจ้า เปาโลกล่าวว่า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพผู้ทรงเป็นต้นเหตุเบื้อง ต้นที่ทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นพระคัมภีร์ได้ชี้ให้เห็นกฏของเหตุ และผลอย่างชัดเจน
สรุป : ประเด็นสำคัญของกฎ “เหตุและผล” ก็คือสสารและชีวิตทุกอย่างที่เห็นเป็นผลของ บางสิ่งแสดงว่าต้องมีเหตุที่สมเหตุสมผลก่อนที่จะมันจะเกิดขึ้นชีวิตในจักรวาลอันมหัศจรรย์ได้ มาที่นี่แล้ว สติปํญญาอยู่ที่นี่แล้วศีลธรรมอยู่ที่นี่แล้ว เหตุเบื้องต้นในการเกิดของทุกสิ่ง คืออะไร? เพราะผลจะมาก่อนเหตุไม่ได้หรือผลจะใหญ่ก่อนเหตุไม่ได้ดังนั้นเกือบสรุปว่าต้นเหตุของชีวิตคือ ผู้ที่มีสติปัญญาพระคัมภีร์ เยเนซิศ 1:1 บันทึกไว้ว่า “เมื่อเดิมพระเจ้าได้นฤมิตสร้างฟ้าและดิน” พระคัมภีร์ได้บอกต้นเหตุที่มาของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต

ท่านใดมีความประสงค์จะศึกษาบทเรียนทางไปรษณีย์เพิ่มเติม สามารถสมัครเรียนกับทางเว็บไซค์คริสตจักรของพระคริสต์ หมู่บ้านมิตรภาพ
สมัครเรียนฟรี....